ไปเดินเล่น “ฮิราโดะ (Hirado)” ย่านใหม่ ที่น้อยคนนักจะรู้จัก

วิวที่เห็นผ่านตา และโดดเด่นระหว่างการเดินทาง คือ สะพาน ฮิราโดะ โอฮะชิ สะพานนี้เป็นสะพานใหญ่สีแดงสดเป็นเสมือนประตูสู่เกาะฮิราโดะ ที่เชื่อมระหว่างเกาะฮิราโดะและเขตทะบิระ เริ่มเปิดใช้ในปี ค.ศ.1977 โดยมีความยาวทั้งหมด 665 เมตร สะพานนี้มีโครงสร้างเป็นสะพานแขวนโครงถัก มีความยาวระหว่างเสาหลักของสะพาน 465.4 เมตร กว้าง 10.7 เมตร และแขวนสูงจากพื้นผิวทะเล 30 เมตร

หอการค้าฮิราโดะ-ฮอลแลนด์ (Hirado Dutch Trading Post) ที่นี่เป็นหนึ่งในอาคารสไตล์ตะวันตกของนางาซากิ ก่อสร้างขึ้นในปี 1639 และอาคารหลังนี้ได้รับบูรณะขึ้นใหม่อย่างประณีต เพื่อเป็นตัวแทนแห่งการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศที่เมืองฮิราโดะ มีสินค้าจัดแสดงอยู่ภายในที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เช่นชุดเกราะของชาวฮอลแลนด์ที่ได้รับการปรับให้เป็นสไตล์ญี่ปุ่น เหมาะกับผู้ที่ชอบเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรม

พิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์มัตสึระนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของตระกูลมัตสึระมาก่อนตระกูลมัตสึระเป็นผู้ปกครองเกาะมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 จนถึงศตวรรษที่ 19 และช่วยให้การค้าระหว่างประเทศกับชาวต่างชาติดีขึ้นมาก

ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้สนุกตรงที่พวกเราสามารถใส่ชุดเกราะซามูไรหรือชุดกิโมโนถ่ายรูปประกอบได้ แถมยังมีคาเฟ่ที่มีบริการขนมหวานสไตล์ญี่ปุ่นพร้อมชาเขียวต้นตำรับสุดอร่อยอีกด้วย นอกจากจะได้ลิ้มลองชาเขียวแท้ๆ แล้ว ยังได้ดูวิธีชงชาสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ที่หาชมได้ยากเช่นกัน

“โบสถ์อนุสรณ์เซนต์ฟรานซิสซาเวียร์ (St. Francis Xavior Memorial Church)” แห่งนี้สร้างขึ้นในปีค.ศ.1931 เป็นโบสถ์ที่โดดเด่นด้วยกำแพงสีเขียวอ่อนและหลังคาสองฝั่งซ้ายขวาที่ไม่สมมาตรกัน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมรูปสลักและภาพประดับกระจกสีที่ตกแต่งอยู่ภายในได้ในยามที่โบสถ์ว่างจากพิธีมิสซาหรืองานพิธีต่างๆ

เมื่อเดินอ้อมไปทางด้านหลังโบสถ์อนุสรณ์เซนต์ฟรานซิส ซาเวียร์ (St. Francis Xavior Memorial Church) ให้เดินไปตามป้ายที่ชี้ทางไปสู่ “จุดชมโบสถ์และวัดจากบนบันไดหิน” ซึ่งเป็นทางเดินปูหินที่ขนาบด้วยรั้วหินสวยงามทอดยาวไปตามทาง ระหว่างทางเดินลงไปตามขั้นบันไดหินนี้ ให้ลองหันกลับไปมองด้านหลัง จะสามารถมองเห็นทั้งโบสถ์และวัดที่อยู่ด้านหน้าได้ในคราวเดียวกัน และจะได้เพลิดเพลินกับภาพทิวทัศน์อันงดงามของเมืองที่เคยมีการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศอย่าง ฮิราโดะ (Hirado) ด้วย

สะพานไซไวบาชิ (Saiwaibashi-Bridge) หรือ สะพานฮอลแลนด์ (Holland Bridge) เป็นสะพานหินทรงโค้งที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ กล่าวกันว่าสร้างขึ้นโดยกลุ่มช่างชาวญี่ปุ่นซึ่งใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากครั้งที่มีส่วนร่วมในการก่อสร้างอาคาร “หอการค้าฮอลแลนด์ (Hirado Dutch Trading Post)” จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “สะพานฮอลแลนด์ (Holland Bridge)” สะพานแห่งนี้เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาดชมเพื่อสัมผัสกับบรรยากาศแห่งประวัติศาสตร์ของเมืองฮิราโดะ

ปราสาทฮิราโดะ (Hirado Castle) เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองฮิราโดะเลยทีเดียว จากหอคอยบนยอดปราสาทมองลงมาจะเห็นวิวอันงดงามของอ่าวฮิราโดะ (Hirado Bay) ทั้งยังจะได้เห็นวิวเมืองฮิราโดะทั้งเมือง รวมถึงป่าดึกดำบรรพ์บนเกาะคุโรโกะจิมะ (Kuroko-jima Island) ที่ได้รับการระบุให้เป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติ และสะพานฮิราโดะ (Hirado Bridge) สีแดงสดได้ในคราวเดียว

หลังจากเดินเล่นชมเมืองฮิราโดะแล้ว ก็ได้เวลาเติมพลังให้กับร่างกายด้วยการรับประทานของหวาน “คัสโดส (Casdoce)” ซึ่งก็คือขนมอร่อยชื่อดังแห่งเมืองฮิราโดะที่ควรหาโอกาสชิมดูให้ได้สักครั้ง ขนมคัสโดสก็คือขนมคัสเทลล่า (Castella) ของดังแห่งจังหวัดนางาซากิ (Nagasaki) ที่นำมาชุบไข่และทอดในน้ำเชื่อม เป็นขนมแสนอร่อยที่ยังคงรักษารสชาติและกรรมวิธีการผลิตแบบดั้งเดิมไว้ได้ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลา 400 ปี จึงไม่ควรพลาดชิมด้วยประการทั้งปวง