เมืองประวัติศาสตร์

กลิ่นอายแห่งอดีตนั้นมีเสน่ห์ชวนหลงใหลอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเดินทางไปท่องเที่ยวที่ไหน ในประเทศหรือต่างประเทศ การได้ไปเยือนสถานที่ที่เต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนและถนนหนทางในสมัยโบราณ อบอวลไปด้วยบรรยากาศย้อนยุค ทำให้รู้สึกราวกับหลุดเข้าไปสู่โลกแห่งอดีต นับเป็นความรื่นรมย์และเพลิดเพลินอย่างหนึ่งที่ไม่มีโอกาสสัมผัสได้บ่อยครั้งนัก

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานน่าสนใจ มีวิถีชีวิตผู้คนและวัฒนธรรมประเพณีที่งดงาม ลักษณะทางสถาปัตยกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปราสาท วัดวาอาราม บ้านเรือนที่อยู่อาศัย ล้วนเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ จึงไม่น่าแปลกใจที่ย่านเมืองเก่าหลายแห่งที่กระจายตัวอยู่เกือบทั่วทุกภูมิภาคจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่สามารถดึงดูดผู้คนให้มาเยือนได้ทั้งจากในและต่างประเทศ

สำหรับผู้ที่สนใจในประวัติศาสตร์ หรืออยากสัมผัสกับบรรยากาศย้อนยุคของญี่ปุ่น สถานที่ท่องเที่ยว 15 แห่งในบทความนี้จะพาคุณกลับไปสู่อดีตอันงดงาม เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์อันน่าจดจำ

โออุชิ-จุคุ (Ouchi-juku)

(จังหวัดฟุคุชิมะ ภูมิภาคโทโฮคุ)

– แหล่งชุมทางหลักบนเส้นทางที่สร้างขึ้นในสมัยเอโดะ (1603-1868) ซึ่งเรียงรายไปด้วยบ้านเรือนหลังคามุงแฝกแบบสมัยโบราณ –

ตลอดสมัยเอโดะ เป็นหน้าที่ของไดเมียวทุกแคว้นที่จะต้องเดินทางไปยังเอโดะอย่างสม่ำเสมอ
และเส้นทางชิโมะทซึเคะไคโด (Shimotsuke Kaido Route) ซึ่งเชื่อมระหว่างแคว้นไอซึ (Aizu Domain / ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งทางทิศตะวันตกของจังหวัดฟุคุชิมะและอีกส่วนหนึ่งอยู่ในจังหวัดนีงะตะ) กับดินแดนเอโดะในยุคนั้น ก็มีหน้าที่สำคัญในฐานะที่เป็นเส้นทางหลักที่ไดเมียวในแต่ละแคว้นใช้ในการเดินทางสู่เอโดะ นอกจากนี้ก็ยังเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งข้าวไปยังเอโดะอีกด้วย โออุชิ-จุคุ (Ouchi-juku) ซึ่งเป็นเมืองที่ถนนสายนี้ตัดผ่าน (ปัจจุบันอยู่ในเมืองชิโมะโก (Shimogo Town) ในไอซึ จังหวัดฟุคุชิมะ) จึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาในฐานะแหล่งชุมทางและคึกคักไปด้วยการขนส่งสินค้าและผู้คนที่สัญจรไปมามากมาย

ถึงแม้ว่าเส้นทางชิโมะทซึเคะไคโดและโออุชิ-จุคุ มักจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนอยู่เสมอในสมัยเอโดะ แต่ต่อมาในสมัยเมจิ (1868-1912) ก็ได้มีการเปิดใช้เส้นทางใหม่ ทำให้จำนวนผู้ใช้เส้นทางชิโมะทซึเคะไคโดและผู้สัญจรผ่านโออุชิ-จุคุลดน้อยลงไปมาก อย่างไรก็ตามการถูกทิ้งร้างเป็นเวลานานกลับกลายเป็นข้อดี เพราะสภาพภูมิทัศน์ต่างๆ ของโออุชิ-จุคุซึ่งเต็มไปด้วยบ้านเรือนหลังคามุงแฝกแบบสมัยโบราณได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ในปี ค.ศ. 1981 โออุชิ-จุคุได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเขตอนุรักษ์สิ่งปลูกสร้างอันทรงคุณค่าของชาติ และในปัจจุบันก็กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้มาเยือนมากถึง 1.2 ล้านคนต่อปี

ปัจจุบันบ้านเรือนหลังคามุงแฝกที่เรียงรายกันอยู่ตลอดสองฝั่งถนน ถูกใช้เป็นร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารท้องถิ่น นักท่องเที่ยวจึงสามารถเพลิดเพลินกับการช้อปปิ้งและรับประทานอาหารอร่อยไปพร้อมๆ กับได้ชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามของบ้านเรือนที่ยังคงสภาพเหมือนสมัยเอโดะ นับเป็นสถานที่ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อยากสัมผัสกับบรรยากาศของแหล่งสัญจรสมัยโบราณ

ที่อยู่: Shimogo-machi, Minami-Aizu-gun, Fukushima
โทรศัพท์: 0241-68-3611 (การท่องเที่ยวโออุชิ-จุคุ)
การเดินทาง: (รถไฟ) 10 นาที จากสถานี Yunokami Onsen บนสาย Aizu Railway Aizu Line (3 ชั่วโมง 30 นาที จากสถานี Tokyo)

(รถยนต์) 1 ชั่วโมงจากทางออก Shirakawa บนทางด่วน Tohoku Expressway

แหล่งข้อมูล: http://www.jnto.go.jp/eng/spot/histtown/ouchi-juku.html

ซะคุระ (Sakura)

(จังหวัดชิบะ ภูมิภาคคันโต)

– ภูมิทัศน์ของเมืองที่ผสมผสานระหว่างสถานที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ มรดกทางวัฒนธรรม และธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ –

เมืองซะคุระ (Sakura City) ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดชิบะ เป็นเมืองที่มีทำเลสะดวกเนื่องจากอยู่ห่างจากสนามบินนาริตะเพียง 20 นาที และห่างจากสถานีโตเกียวเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้นโดยทางรถไฟ นักท่องเที่ยวจึงสามารถเดินทางไปเที่ยวชมได้โดยง่าย ในปี ค.ศ. 1611 โดะอิ โทะชิคัตสึ (Doi Toshikatsu) ขุนนางผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในยุคนั้น ได้สร้างปราสาทซะคุระ (Sakura Castle) ขึ้นโดยใช้เวลาถึง 7 ปี ทำให้เมืองนี้เป็นเมืองปราสาทในเวลาต่อมา นักท่องเที่ยวสามารถจินตนาการภาพเมืองแห่งนี้ในสมัยเอโดะได้โดยดูจากซากปรักหักพังของตัวปราสาทภายในสวนปราสาทซะคุระ (Sakura Castle Park) ซึ่งรวมถึงคูเมืองรอบปราสาทอันแห้งเหือดในปัจจุบัน

ที่นี่มีถนนเส้นหนึ่งซึ่งเคยเป็นแหล่งที่อยู่ของซามูไรในยุคนั้น อยู่ที่มิยะโคะจิ-มะจิ (Miyakoji-Machi) ทางทิศตะวันออกของซากปราสาท อาคาร 3 หลังบนถนนเส้นนี้ในอดีตเคยเป็นบ้านของซามูไร ได้แก่บ้านคะวะระ (Kawara House) บ้านทะจิมะ (Tajima House) และบ้านทะเคะอิ (Takei House) ซึ่งในปัจจุบันเป็นอดีตที่อยู่อาศัยของซามูไรที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองซะคุระ และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ และเนื่องจากบ้านทั้ง 3 หลังนี้มีความแตกต่างกันตามยศและศักดินา นักท่องเที่ยวจึงสามารถมองเห็นภาพวิถีชีวิตของซามูไรในยุคนั้นผ่านการเปรียบเทียบบ้านแต่ละหลังนั่นเอง

นอกจากนี้ บ้านโฮตตะ (Hotta House) ก็คือคฤหาสน์ที่ โฮตตะ มะซะโทะโมะ (Hotta Masatomo) ไดเมียวคนสุดท้ายแห่งซะคุระเคยพำนักอยู่ ประกอบด้วยอาคาร 7 หลัง ได้แก่ ห้องโถงใหญ่, ปีกห้องรับรองแขก, ปีกห้องนั่งเล่น, อาคารสำหรับอ่านหนังสือ, อาคารอาบน้ำ, ห้องกำแพงดินสำหรับเก็บของ, และห้องพักคนเฝ้าประตู ซึ่งได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี สวนของคฤหาสน์หลังนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า สวนซะคุระ (Sakura Garden) สร้างโดย อิโต ฮิโคะเอมง (Ito Hikoemon) นักจัดสวนชื่อดังแห่งสมัยเมจิ คฤหาสน์ซามูไรที่ได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดีและยังคงลักษณะทางสถาปัตยกรรมและสวนแบบญี่ปุ่นนั้นนับว่าเป็นสิ่งหาได้ยาก จึงเป็นสถานที่อันควรค่าแก่การไปเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง

ที่อยู่: Kairinjimachi, Sakura City, Chiba
การเดินทาง: (รถไฟ) สถานี Sakura บน JR Sobu Line (1 ชั่วโมงจากสถานี Tokyo) หรือ สถานี Keisei-Sakura บน Keisei Main Line

(รถยนต์) 25 นาทีจากทางออก Narita บนทางด่วน Higashi-Kanto Expressway

แหล่งข้อมูล: http://www.jnto.go.jp/eng/spot/histtown/sakura.html

ถนนนะคะมิเสะ-โดริ (Nakamise-dori Street)

(โตเกียว ภูมิภาคคันโต)

– สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งในโตเกียว ที่มีชื่อเสียงในเรื่องไมตรีจิตของผู้คน ร้านค้าในแบบย่านการค้าสมัยก่อนอันมีเอกลักษณ์ และภาพม้วนแห่งอะซะคุสะ –

เมื่อก้าวพ้นประตูคะมินะริมง (Kaminarimon Gate) สีแดงชาด สัญลักษณ์ของย่านอะซะคุสะแห่งนี้เข้ามาภายใน เราจะได้เห็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจมากมาย ประตูคะมินะริมงเป็นประตูสู่ถนนนะคะมิเสะ-โดริ (Nakamise-dori Street) ถนนบริเวณหน้าวัดเซนโซจิ (Senso-ji Temple) ซึ่งทอดตัวเป็นระยะทางยาว 250 เมตรจากหน้าประตูคะมินะริมงไปยังประตูโฮโซมง (Hozomon Gate) สองฝั่งถนนเรียงรายไปด้วยร้านค้าจำนวนมากประมาณ 50 ร้านทางฝั่งตะวันออก และ 30 ร้านทางฝั่งตะวันตก ซึ่งล้วนแล้วแต่มีอายุเก่าแก่และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ นักท่องเที่ยวจะได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศแบบชิตะมะจิหรือย่านการค้าของโตเกียว สินค้าที่นี่มีให้เลือกหลากหลายรวมถึงสินค้าสไตล์ญี่ปุ่นซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เช่น เครื่องประดับผม รองเท้าเกี๊ยะแบบญี่ปุ่น ตุ๊กตาไม้ และกระดาษลวดลายญี่ปุ่นหลากสีสัน เป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังมีสินค้าประเภทศิลปะพื้นบ้านต่างๆ, โปสการ์ดภาพทิวทัศน์ของอะซะคุสะในสมัยเอโดะ (1603-1868), ขนมนิงเงียวยากิ (ningyoyaki) และขนมคะมินะริ-โอะโคะชิ (kaminari-okoshi) ซึ่งเป็นขนมของฝากยอดนิยมจากโตเกียว และก็ยังมีอาหารญี่ปุ่นที่ใช้สาหร่ายโนริและสาหร่ายคมบุในการปรุงอีกด้วย ทำให้ถนนนะคะมิเสะ-โดริเนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ

ว่ากันว่าถนนนะคะมิเสะ-โดรินี้เป็นหนึ่งในถนนที่ผู้คนนิยมมาจับจ่ายซื้อของที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น หลังจากที่โทะคุงะวะ อิเอะยะสุ (Tokugawa Ieyasu) แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ผู้ปกครองญี่ปุ่นในยุคเซงโงะคุ (1493-1590) ได้จัดตั้งรัฐบาลโชกุนขึ้นที่เอโดะ ก็มีผลให้จำนวนประชากรในเอโดะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ชาวเมืองบางส่วนจึงพากันเปิดร้านค้าอยู่ด้านหน้าและภายในบริเวณวัดเซนโซจิ ซึ่งกล่าวกันว่านี่เองคือจุดกำเนิดของถนนนะคะมิเสะ-โดริแห่งนี้ ส่วนบานประตูแบบชัตเตอร์หน้าร้านก็ทำหน้าที่แทนผืนผ้าใบให้ศิลปินได้บรรจงวาดภาพบรรยากาศงานเทศกาลประเพณีต่างๆ และภาพทิวทัศน์เด่นๆ ในแต่ละฤดู เมื่อม้วนบานชัตเตอร์ลงมาจึงดูเหมือนภาพเขียนขนาดใหญ่ของอะซะคุสะ ทำให้ผู้คนยังสามารถมาเที่ยวที่นี่ได้อย่างเพลิดเพลินแม้จะเป็นเวลาหลังจากที่ร้านรวงได้ปิดลงแล้ว

ดังนั้นถนนนะคะมิเสะจึงยังคงควรค่าแก่การไปเที่ยวชมแม้ในยามกลางคืน

ที่อยู่: Asakusa, Taito-ku, Tokyo
โทรศัพท์: 03-3844-3350 (Nakamise Hall)
การเดินทาง: เดิน 3 นาทีจากสถานี Asakusa บน Tokyo Metro Ginza Line/ Toei Subway Asakusa Line/ Tobu Isesaki Line หรือเดิน 10 นาทีจากสถานี Asakusa บน Tsukuba Express Line
แหล่งข้อมูล: http://www.jnto.go.jp/eng/spot/histtown/nakamise-dori-street.html

หมู่บ้านซามูไรนะงะมะจิ (Nagamachi Buke Yashiki District)

(จังหวัดอิชิคะวะ ภูมิภาคโฮคุริคุ)

– ความงามที่สะกดสายตาผู้มาเยือนในทุกฤดูกาล สวนเคนโระคุเอ็นและหมู่บ้านซามูไรนะงะมะจิ สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเมืองเก่าแก่คะนะซะวะ –

คะนะซะวะ คือชื่อของเมืองเก่าแก่แห่งหนึ่งในจังหวัดอิชิคะวะ และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโฮคุริคุ ในสมัยเอโดะ เมืองนี้เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในฐานะเมืองปราสาทแห่งแคว้นคะงะ (Kaga Domain) มีอัตรารายได้สูงถึงกว่าหนึ่งล้านโคะคุ (หน่วยวัดความมั่งคั่งร่ำรวยในสมัยโบราณ) ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดของประเทศ โดยเป็นรองแค่รัฐบาลโชกุนเท่านั้น คะนะซะวะพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นเมืองขนาดใหญ่รองจากเอโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน) โอซาก้า และเกียวโต นอกจากนี้ยังรอดพ้นจากภัยสงครามโลกครั้งที่สองมาได้ ทั่วทั้งเมืองจึงยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งประวัติศาสตร์จวบจนปัจจุบัน

หนึ่งในสถานที่ที่น่าไปเยือนในเมืองนี้ได้แก่สวนสไตล์ญี่ปุ่นขนาดใหญ่ เคนโระคุเอ็น (Kenroku-en) ซึ่งเป็น 1 ใน 3 สวนที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น “เคนโระคุเอ็น” มีความหมายว่า “สวนที่รวม 6 องค์ประกอบเข้าด้วยกัน” ซึ่งกล่าวกันว่าชื่อนี้ได้มาจากการที่สวนแห่งนี้รวมเอาองค์ประกอบ 6 อย่างที่ไม่น่าจะเข้ากันได้ ไว้ด้วยกันได้อย่างน่ามหัศจรรย์ องค์ประกอบทั้ง 6 นี้ได้แก่ “พื้นที่กว้างขวาง”, “บรรยากาศเงียบสงบ”, “มีลูกเล่นชั้นเชิง”, “ความเก่าแก่”, “สายน้ำไหล” และ “ทัศนียภาพงดงาม” สวนแห่งนี้ผ่านการจัดและตกแต่งโดยไดเมียวผู้ครองแคว้นคะงะจากรุ่นสู่รุ่นเป็นเวลานานกว่า 100 ปี ภายในประกอบด้วยสระน้ำ 3 สระ เนินเขาที่สร้างโดยการไถพลิกหน้าดิน ต้นไม้จำนวนมาก และศาลาชงชากระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ทั่วบริเวณสวน ผู้มาเยือนจะได้เดินชมสวนและรื่นรมย์กับทัศนียภาพอันงดงามได้ในขณะที่แวะพักตามจุดต่างๆ ซึ่งสวนลักษณะนี้เรียกว่าสวนสไตล์ “Strolling garden”

หากใครต้องการรื่นรมย์กับความงามของสวนเคนโระคุเอ็นอย่างจุใจ ก็ขอแนะนำให้เดินประมาณ 90 นาที เป็นระยะทาง 1,300 เมตร ภายในสวนมีหลายจุดที่สวยงามจนต้องหยุดยืนชมเป็นระยะๆ และในฤดูที่แตกต่างกันสวนแห่งนี้ก็จะให้ความงามที่แตกต่างกันตามไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาว ที่เราจะได้เห็น “ยุคิทซึริ” (Yukitsuri) ซึ่งหมายถึงเสาพร้อมเชือกที่คอยรั้งกิ่งก้านของต้นสนเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้หักลงมาด้วยน้ำหนักของหิมะ ซึ่งยุคิทซึรินี้เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของสวนเคนโระคุเอ็นในฤดูหนาวร่วมกับภาพโคมหินจำนวนมากที่ปกคลุมด้วยหิมะ สำหรับในฤดูใบไม้ผลิ สวนแห่งนี้ก็จะเต็มไปด้วยสีชมพูของดอกซากุระ ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวสดชื่นในฤดูร้อน และปกคลุมไปด้วยใบไม้สีแดงในฤดูใบไม้ร่วง

อีกสถานที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงก็คือ หมู่บ้านซามูไรนะงะมะจิ (Nagamachi Buke Yashiki District) ซึ่งยังคงอนุรักษ์กำแพงดินเก่าแก่ และ ‘นะงะยะมง’ (Nagaya-mon) หรือประตูบ้านที่มีคอกม้าหรือห้องพักคนรับใช้อยู่ด้านข้างสองฝั่งประตู หากใครได้ก้าวเข้าไปสู่ถนนด้านหลังโครินโบ (Korinbo) ซึ่งเป็นย่านใจกลางเมืองคะนะซะวะและเต็มไปด้วยตึกสมัยใหม่ ก็จะรู้สึกราวกับว่าได้ย้อนเวลากลับไปยังสมัยเอโดะเลยทีเดียว ชุมชนแห่งนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของซามูไรชั้นกลางและชั้นสูง และยังคงไว้ซึ่งบรรยากาศเก่าแก่ในสมัยก่อนเอาไว้ด้วยกำแพงดินเผา ทางเดินหิน และคลองโอโนะโช (Onosho Canal)

เมื่อได้อยู่ในบรรยากาศของกำแพงดินเผาที่ทอดตัวยาวต่อเนื่องหลายร้อยเมตร เสียงสายน้ำที่ไหลผ่านบ้านเรือนซามูไร และทางเดินหินเก่าแก่ รับรองว่าทุกคนจะต้องสัมผัสได้ถึงประวัติศาสตร์และขนบประเพณีต่างๆ ภายในเมืองปราสาทเก่าแก่แห่งนี้อย่างแน่นอน และนักท่องเที่ยวก็ยังจะได้เห็นบางส่วนของวิถีชีวิตแบบซามูไรในอดีตผ่านบ้านของตระกูลทะคะดะ หรือของตระกูลโนะมุระแห่งแคว้นคะงะ ซึ่งยังคงมีร่องรอยแห่งอดีตปรากฎอยู่ในบริเวณสวน นอกจากนี้ก็ยังมีศาลาพักร้อน ศาลาน้ำชา และวัดวาอารามให้เราได้เดินกันอย่างเพลิดเพลินอีกด้วย

บ้านเรือนเหล่านี้ยังคงมีผู้อาศัยอยู่ รวมถึงบ้านตระกูลโนะมุระซึ่งเปิดให้ผู้คนได้เข้าชมด้วย นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาเที่ยวชมสวนและศาลาชงชาของ โนะมุระ เดมเบ โนะบุซะดะ (Nomura Denbei Nobusada) ผู้มั่งคั่งด้วยอัตรารายได้ 1,200 โคะคุ ส่วนสวนของตระกูลทะคะดะนั้นเป็นสวนสไตล์เดินวนชมโดยรอบ (Strolling garden) โดยมีสระน้ำซึ่งยังคงรักษากลิ่นอายในสมัยเอโดะเอาไว้ และเนื่องจากทัศนียภาพที่สวยงามนี่เอง ที่แห่งนี้จึงมักถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครโทรทัศน์อยู่บ่อยๆ

จากโตเกียว: (เครื่องบิน) 1 ชั่วโมงจาก Haneda Airport สู่ Komatsu Airport และ 40 นาทีจาก Komatsu Airport สู่สถานี Kanazawa
(ป้ายรถบัส Kanazawa-eki-mae) โดยรถบัส
(รถไฟ) 2 ชั่วโมง 30 นาที จากสถานี Tokyo สู่สถานี Kanazawa โดยรถไฟ JR Hokuriku Shinkansen
จากโอซาก้า: (รถไฟ) 2 ชั่วโมง 30 นาที จากสถานี Osaka สู่สถานี Kanazawa โดยรถไฟ JR “Thunderbird” (limited express)
แหล่งข้อมูล: http://www.jnto.go.jp/eng/spot/histtown/nagamachi.html

เขตเมืองเก่าซันโนะ-มะจิ (Sanno-machi Historic District)

(จังหวัดกิฟุ ภูมิภาคชูบุ)

– บรรยากาศถนนเล็กๆ ที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์และร้านรวงแบบโบราณ –

เมืองทะคะยะมะ (Takayama City) จังหวัดกิฟุ ซึ่งมีที่ตั้งอยู่เกือบใจกลางแผนที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นเมืองปราสาทที่ทุกด้านถูกโอบล้อมด้วยภูเขา ต่อมามีย่านการค้าเกิดขึ้นและก่อให้เกิดวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นในสมัยเอโดะในช่วงศตวรรษที่ 17 เขตเมืองเก่าของที่นี่ ประกอบด้วยอาคาร 3 แถวเรียงราย และมักเรียกกันว่าเป็น “ย่านเกียวโตน้อยในฮิดะ” (Little Kyoto in Hida) อันเนื่องมาจากบรรยากาศเปี่ยมเสน่ห์แบบโบราณ ซึ่งทำให้ได้รับการยกย่องจาก Michelin Travel Guide ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับ 3 ดาว

ทางน้ำไหลบริเวณใต้ชายคาบ้านเรือนแต่ละหลังซึ่งมีหน้าต่างกรุโครงไม้ขัดกันเป็นตาราง พร้อมด้วยโกดังเก็บสินค้าขนาดใหญ่เรียงรายอยู่ด้านหลัง ทางเดินสู่โรงกลั่นสาเกที่ประดับด้วยใบไม้บ่งชี้ว่าสาเกใหม่สำหรับฤดูนี้พร้อมขายให้กับลูกค้าแล้ว ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดบรรยากาศย้อนยุคในสมัยที่ย่านนี้ยังคงเป็นเมืองปราสาทอยู่

บริเวณริมฝั่งแม่น้ำมิยะงะวะ (Miyagawa River) และบริเวณพลาซ่าหน้าจินยะ (Jinya) ใกล้ๆ กับย่านเมืองเก่า ทะคะยะมะ จินยะคือสถานที่ที่ใช้เป็นศาลาว่าการเมืองในสมัยเอโดะ (1603-1868) และเป็นศาลาว่าการเมืองสมัยเอโดะเพียงแห่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในญี่ปุ่น จะมีตลาดเปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 6 โมงเช้าไปจนถึงประมาณเที่ยง มีของขายมากมาย รวมถึงผักสด ผลไม้ และผลงานศิลปะพื้นบ้าน ตลาดแห่งนี้เป็นหนึ่งในตลาดเช้าไม่กี่แห่งในญี่ปุ่นที่เปิดขายตลอด 365 วันต่อปี และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกด้วย เทศกาลทะคะยะมะ (Takayama Festival) นับเป็นงานเทศกาลสำคัญของเมืองนี้ จัดในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง และได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 3 งานเทศกาลที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งทุกปีเมืองนี้จะคึกคักและคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมายที่มาเที่ยวชมงานเทศกาลนี้

ที่อยู่: Kami-Sannnochi, Takayama City, Gifu
โทรศัพท์: 0577-32-5328 (Sightseeing Department, Takayama City)
การเดินทาง: (รถไฟ): เดิน 10 นาทีจากสถานี Takayama บน JR Takayama Line (2 ชั่วโมง 20 นาทีจาก Nagoya)
(รถยนต์): 30 นาทีจากทางออก Hida-Kiyomi บนทางด่วน Tokai-Hokuriku Expressway
แหล่งข้อมูล: http://www.jnto.go.jp/eng/spot/histtown/oldtown.html

มิโนะ (Mino)

(จังหวัดกิฟุ ภูมิภาคชูบุ)

– เมืองแห่งประวัติศาสตร์เก่าแก่หยั่งรากลึกและอุตสาหกรรมกระดาษสาที่เฟื่องฟู –

เมืองมิโนะ (Mino City) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดกิฟุ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในฐานะศูนย์กลางการผลิตกระดาษสาญี่ปุ่น ซึ่งกระดาษสาจากมิโนะถือเป็นหนึ่งในกระดาษสาที่มีคุณภาพสูงที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว

ประวัติความเป็นมาของกระดาษสาญี่ปุ่นนั้นสามารถนับย้อนหลังไปได้ถึงศตวรรษที่ 8 โดยกระดาษสาที่มีเก็บอยู่ในกรุสมบัติโชโซอิน (Shosoin Repository) แห่งนารานั้นส่วนใหญ่คือกระดาษสาจากมิโนะนั่นเอง อุตสาหกรรมกระดาษในมิโนะเฟื่องฟูขึ้นได้เนื่องจากที่นี่มีต้นหม่อนจำนวนมากและยังอุดมด้วยแหล่งน้ำสะอาดบริสุทธิ์ปริมาณมากจากแม่น้ำนะงะระ (Nagara River) และแม่น้ำอิตะโดะริ (Itadori River) ปัจจุบันเมืองมิโนะยังคงสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นอันทรงคุณค่ามาจนถึงทุกวันนี้ โดยกระดาษแต่ละแผ่นจะถูกบรรจงผลิตขึ้นโดยช่างฝีมือ ด้วยเทคนิคและภูมิปัญญาเก่าแก่ที่ช่วยให้เยื่อกระดาษมีความนุ่มนวลและแตกต่างไปจากกระดาษของฝั่งตะวันตก พิพิธภัณฑ์กระดาษสาญี่ปุ่นมิโนะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ผู้มาเยือนจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ในการผลิตกระดาษสา ด้วยอุปกรณ์แบบโบราณแท้ๆ และวัตถุดิบจากธรรมชาติ นักท่องเที่ยวจะสามารถสร้างสรรค์ผลงานกระดาษสาญี่ปุ่นในแบบฉบับของตนเองได้ และในเดือนตุลาคมของทุกปีจะมีการจัดงานนิทรรศการศิลปะโคมไฟกระดาษสามิโนะ (Mino Washi Akari ART Exhibition) ขึ้นเป็นเวลาสองวันที่ย่านเมืองเก่าอุดัตสึโนะอะงะรุ (Udatsu no Agaru Historic District) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้มีโอกาสจัดแสดงผลงานสร้างสรรค์ของตน

ย่านอุดัตสึโนะอะงะรุ ได้รับการยกย่องให้เป็นกลุ่มสิ่งปลูกสร้างทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่สวยงาม คำว่า “อุดัตสึ” หมายถึงกำแพงที่ก่อขึ้นสองด้านตรงหลังคาชั้นแรกของบ้านสองชั้น เพื่อป้องกันมิให้ไฟลุกลามไปบ้านข้างเคียงในกรณีที่เกิดไฟไหม้ เมื่อเมืองนี้เจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อยๆ ชาวเมืองรวมถึงพ่อค้าขายส่งกระดาษสาต่างก็พากันสร้างกำแพงอุดัตสึที่ว่านี้ให้สวยสะดุดตากันเพื่อประกาศความร่ำรวยกันเป็นการใหญ่ และในตัวเมืองมิโนะ นักท่องเที่ยวก็จะได้เห็นร้านรวงมากมายพร้อมหน้าต่างบานใหญ่กรุโครงไม้ขัดกันเป็นตารางซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ครั้งสมัยเอโดะเลยทีเดียว

จากโตเกียว: (รถไฟ) 40 นาทีจากสถานี Tokyo สู่สถานี Nagoya โดยรถไฟ JR Tokaido Shinkansen “Nozomi” และ 42 นาทีจากสถานี Nagoya สู่สถานี Mino-Ohta โดยรถไฟ JR Line “Hida” (limited express) ต่อด้วย 36 นาทีจากสถานี Mino-Ohta สู่สถานี Mino-shi โดยรถไฟ Nagaragawa Railway
จากนาโกย่า: (รถไฟ) 42 นาทีสู่สถานี Mino-Ohta โดยรถไฟ JR Line “Hida” (limited express) และ 36 นาทีจากสถานี Mino-Ohta สู่สถานี Mino-shi โดยรถไฟ Nagaragawa Railway
แหล่งข้อมูล: http://www.jnto.go.jp/eng/regional/gifu/mino.html

กิอง (Gion)

(จังหวัดเกียวโต ภูมิภาคคันไซ)

– ย่านดาวน์ทาวน์ที่มีชื่อเสียงของเกียวโตที่ซึ่งคุณจะได้ประทับใจกับศิลปะการแสดงแบบญี่ปุ่นโบราณ –

กิอง (Gion) ในเขตฮิงะชิยะมะ (Higashiyama-ku) เกียวโต คือย่านดาวน์ทาวน์ที่โด่งดัง ทางใต้ของกิองเรียงรายไปด้วยร้านน้ำชาสร้างจากไม้ ร้านอาหารญี่ปุ่น และบ้านเรือนตกแต่งแบบโบราณที่เรียกว่ามะจิยะ (machiya) ก่อให้เกิดภาพและบรรยากาศที่สวยงาม พื้นที่ของกิองครอบคลุมตั้งแต่ถนนชิมบะชิ (Shinbashi Street) ทางทิศเหนือลงมาจนถึงวัดเคนนินจิ (Kenninji Temple) ทางทิศใต้ข้ามฝั่งถนนชิโจ (Shijo Street) และจากถนนยะมะโตะโอจิ (Yamato-oji Street) ทางทิศตะวันตกจรดถนนฮิงะชิโอจิ (Higashi-oji Street) ทางทิศตะวันออก เป็นย่านที่มีชื่อเสียงที่เรามักจะได้เห็นไมโกะในชุดกิโมโนสีสดใสสวมรองเท้าเกะตะ (เกี้ยะไม้) อยู่เสมอ ไมโกะหมายถึงเกอิชาฝึกหัด ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในกิองภายใต้ขนบประเพณีเคร่งครัด อย่างไรก็ดีไมโกะส่วนใหญ่ที่เราเห็นเดินอยู่นอกย่านกิองนั้น จริงๆ แล้วคือนักท่องเที่ยวที่แต่งกายเป็นไมโกะเพื่อความสนุกสนาน เพราะเป็นเรื่องยากมากที่เราจะได้เห็นไมโกะที่แท้จริงในสถานการณ์อื่นนอกจากกิองในยามราตรี

ถนนต่างๆ ในเมืองเกียวโตเป็นถนนเล็กๆ ที่ปูพื้นเป็นลวดลายคล้ายตะแกรงไปทุกทิศทางทั้งทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก และไม่เพียงแต่ถนนสายหลักๆ เท่านั้น แม้กระทั่งตรอกเล็กตรอกน้อยก็มีชื่อเรียกซึ่งแตกต่างไปจากเมืองอื่นๆ ในญี่ปุ่น หนึ่งในถนนสายหลักของเมืองได้แก่ถนนชิโจซึ่งทอดตัวยาวจากทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตก นอกจากนี้ถนนที่มีชื่อเสียงอีกสายหนึ่งที่ทอดตัวจากทิศเหนือจรดใต้ในย่านกิองก็คือถนนฮะนะมิโคจิ (Hanamikoji Street) ส่วนทางทิศใต้มีโรงละครกิองโคบุ คะบุเรนโจ (Gion Kobu Kaburenjo Theater) ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายนของทุกปีจะเป็นช่วงเวลาของงานเทศกาลมิยะโกะโอะโดะริ (Miyakoodori) และงานอีเว้นท์อื่นๆที่ไมโกะและเกอิชาจะได้แสดงทักษะความสามารถของตน และถัดมาก็คือยะซะกะฮอลล์ (Yasaka Hall) ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวด้วยการจัดโชว์ศิลปะการแสดงสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ 7 ชนิด ซึ่งรวมถึงการร่ายรำเคียวไมโดยไมโกะ ภายในโรงละครในกิองคอร์เนอร์ (Gion Corner) ซึ่งสร้างขึ้นเป็นการถาวรอยู่ภายในฮอลล์นี้

ที่อยู่: Minamigawa Gion Town, Higashiyama-ku, Kyoto City, Kyoto
โทรศัพท์: 075-222-4130 (สำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวและการจัดประชุมแห่งเมืองเกียวโต)
การเดินทาง: (รถบัส) จากสถานี Kyoto ของรถไฟ Tokaido Shinkansen ขึ้นรถบัสใช้เวลาประมาณ 15 นาที มาลงที่ป้าย Gion จากนั้นเดิน 5 นาที
(รถยนต์) 20 นาทีจากทางออก Kyoto-Higashi บนทางด่วน Meshin Expressway
แหล่งข้อมูล: http://www.jnto.go.jp/eng/spot/histtown/gion.html

อะระชิยะมะ (Arashiyama)

(เกียวโต ภูมิภาคคันไซ)

– พบกับธรรมชาติอันงดงามและวัดวาอารามศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อให้เกิดทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่ในทุกฤดูกาลได้ที่อะระชิยะมะสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเกียวโต –

อะระชิยะมะ (Arashiyama) คือภูเขาที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเกียวโต เป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนเกียวโต ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ที่นี่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากก็คือทัศนียภาพอันงดงามแตกต่างกันไปในแต่ละฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง หรือฤดูหนาว ผู้คนส่วนมากที่มาเที่ยวชมภูเขาอะระชิยะมะมักจะไปเที่ยวที่ซะงะโนะ (Sagano) ด้วยโดยใช้เส้นทางเดินเลียบป่าไผ่ ในอะระชิยะมะและซะงะโนะมีวัดและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ หลายแห่งที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวรรณคดี รวมถึงวัดเทนริวจิ (Tenryuji Temple) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก นับว่าเป็นดินแดนที่เปี่ยมด้วยบรรยากาศที่งามสงบจริงๆ

สะพานโทะเง็ตสึเคียว (Togetsukyo Bridge / Moon Crossing Bridge) เป็นอีกสถานที่หนึ่งในอะระชิยะมะที่มีความสวยงาม ในตอนแรกมีชื่อเรียกว่า “สะพานโฮรินจิ” (Horinji Bridge) เนื่องจากเป็นสะพานที่ข้ามไปสู่วัดโฮรินจิ (Horinji Temple) แต่ต่อมาภายหลังได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “สะพานโทะเง็ตสึเคียว” (Togetsukyo Bridge) ตามพระราชดำรัสของจักรพรรดิคะเมะยะมะ (Emperor Kameyama) ในสมัยเฮอัน (794-1185) ที่ว่าสะพานแห่งนี้ดูราวกับพระจันทร์กำลังข้ามสะพานอยู่ นอกจากนี้แม่น้ำที่ไหลผ่านใต้สะพานโทะเง็ตสึเคียวก็มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปตามสถานที่ที่ไหลผ่านด้วย โดยช่วงต้นน้ำจะเรียกว่าแม่น้ำโออิงะวะ (Oigawa River) ช่วงกลางเรียกว่าแม่น้ำโฮะซุงะวะ (Hozugawa River) และช่วงปลายน้ำจะเรียกว่าแม่น้ำคัตซึระงะวะ (Katsuragawa River) ธรรมเนียมการล่องเรือที่แสนสง่างามหลบหลีกจากโลกแห่งราชสำนักของเหล่าขุนนางชั้นสูงในสมัยเฮอันยังคงสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ โดยนักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมความงดงามของหุบเขาขณะล่องเรือชมแม่น้ำโฮะซุงะวะ นอกจากนี้หากใครได้ขึ้นรถรางที่แล่นเลียบแม่น้ำก็จะยิ่งได้สัมผัสกับธรรมชาติอันงดงามยิ่งใหญ่น่าอัศจรรย์ของภูเขาอะระชิยะมะ ซึ่งมีความงามที่แตกต่างไปตลอดทั้งปี

ที่อยู่: Arashiyama-Higashi-Ichikawa-Cho, Nisikyo-ku, Kyoto City, Kyoto
โทรศัพท์: 075-222-4130 (สำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวและการจัดประชุมแห่งเมืองเกียวโต)
การเดินทาง: (รถไฟ) สถานี Arashiyama โดยรถไฟ Hankyu Railway Arashiyama Line (20 นาทีจากสถานี Karasuma)
(รถยนต์) 47 นาทีจากทางออก Kyoto-Minami บนทางด่วน Meishin Expressway
แหล่งข้อมูล: http://www.jnto.go.jp/eng/spot/histtown/arashi-yama.html

โทะโนะมะจิ (Tonomachi)

(จังหวัดชิมะเนะ ภูมิภาคชูโงะคุ)

– ทัศนียภาพอันงดงามพร้อมปลาคาร์พที่ว่ายวนอยู่ในคูคลองข้างถนน สร้างเอกลักษณ์อันโดดเด่นให้เป็นที่รู้จักแก่นักท่องเที่ยว –

โทะโนะมะจิ (Tonomachi) อยู่ในเมืองทซึวะโนะ (Tsuwano Town) อำเภอคะโนะอะชิ จังหวัดชิมะเนะ ทซึวะโนะนั้นเป็นเมืองปราสาทเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่บนชายแดนระหว่างจังหวัดชิมะเนะกับจังหวัดยะมะงุชิ รวมถึงมีมีจำนวนประชากรไม่ถึง 10,000 คน มีธรรมชาติที่มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์จากเทือกเขาชูโงะคุ (Chugoku Mountains) รวมถึงมีวัฒนธรรมและประเพณีที่เฟื่องฟูด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 700 ปี จึงได้รับการขนานนามว่าเป็น “เกียวโตน้อยแห่งภูมิภาคซันอิน”

จากสถานีรถไฟทซึวะโนะ (Tsuwano Station) เดินไปประมาณ 10 นาที ก็จะถึงย่านโทะโนะมะจิ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของทซึวะโนะ เรียงรายไปด้วยบ้านซามูไรยุคเก่า บ้านพ่อค้าวาณิช และสถานที่ทางประวัติศาสตร์มากมาย โรงเรียนโยโรคัง (Yoro-kan) ซึ่งในสมัยเอโดะเป็นสถานที่สำหรับสอนวัฒนธรรมและพัฒนาบุคลากรแห่งแคว้นทซึวะโนะ ผ่านการเรียนการสอนทางวิชาการและศาสตร์ทางการทหารสำหรับลูกหลานเหล่าซามูไรในแคว้น ปัจจุบันนี้ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เมืองทซึวะโนะ (Tsuwano Town History Museum) ภายในจัดแสดงสิ่งของทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากมาย กล่าวกันว่าเมื่อครั้งยังเด็ก โมะริ โอไง (Mori Ogai) นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่แห่งสมัยเมจิผู้ถือกำเนิดในเมืองทซึวะโนะก็เคยเข้ารับการศึกษาที่โยโรคังแห่งนี้เช่นกัน นอกจากนี้ก็ยังมี ทะโงะ คะโรมง (Tago Karo-Mon) ซึ่งเคยเป็นศาลาว่าการในอดีตและยังคงไว้ซึ่งความงดงามด้วยหลังคามุงกระเบื้องในสมัยโบราณ และนักท่องเที่ยวยังสามารถเพลิดเพลินกับความงามของปลาคาร์พสีสันสดสวยที่ว่ายวนอยู่ในคูคลองตามฝั่งถนนที่หันหน้าเข้ากำแพงดิน อีกทั้งความงามของดอกไอริสที่บานสะพรั่งในเดือนมิถุนายน ในฤดูร้อนจะมีการประดับไฟสวยงามตามคูคลองต่างๆ ในตอนกลางคืน ให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกับความงามท่ามกลางอากาศเย็นสบายด้วย เป็นบรรยากาศที่จะสัมผัสได้เฉพาะในเมืองเล็กๆ เท่านั้น

ที่อยู่: Ushiroda-Tonomachi, Tsuwano Town, Kanoashi-gun, Shimane
โทรศัพท์: 0856-72-1771 (สมาคมท่องเที่ยวเมืองทซึวะโนะ)
การเดินทาง: (รถไฟ) เดิน 10 นาทีจากสถานี Tsuwano บนสาย JR Yamaguchi Line (3 ชั่วโมงจากสถานี Hakata หรือ 3 ชั่วโมงจาก Tokyo โดยทางเครื่องบินผ่าน Iwami Airport)
รถยนต์: 1 ชั่วโมงจากทางออก Muikaichi บนทางด่วน Chugoku Expressway
ที่จอดรถ: มีที่จอดรถแบบเสียค่าบริการ
แหล่งข้อมูล: http://www.jnto.go.jp/eng/spot/histtown/tonomachi.html

ย่านคุระชิกิ (Kurashiki Area)

(จังหวัดโอคะยะมะ ภูมิภาคชูโงะคุ)

– คุระชิกิ อยู่ทางใต้ของจังหวัดโอคะยะมะ เมืองแห่งวัฒนธรรมประเพณีโบราณ วิทยาการล้ำสมัย พร้อมด้วยที่พักและร้านค้าเปี่ยมเสน่ห์ เมืองที่วัฒนธรรมและอุตสาหกรรมอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน –

คุระชิกิ (Kurashiki) ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของที่ราบทางตอนใต้ในจังหวัดโอคะยะมะ ในสมัยเอโดะเมื่อประมาณ 350 ปีก่อน บริเวณเลียบฝั่งแม่น้ำคุระชิกิ (Kurashiki River) เคยอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลโชกุน และมีการค้าขายทางเรือ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ย่านนี้เจริญรุ่งเรืองในยุคนั้น

ภูมิทัศน์ถนนทางเดินที่เรียงรายไปด้วยโกดังสินค้าและร้านรวงของพ่อค้าวาณิชทางทิศใต้ของสถานีรถไฟคุระชิกิ ได้รับการคัดเลือกโดยทบวงวัฒนธรรมของญี่ปุ่นให้เป็นเขตอนุรักษ์กลุ่มโบราณสถานทรงคุณค่า และยังได้รับการคุ้มครองจวบจนปัจจุบันในฐานะเป็น “บิคังชิคุ” (Bikan Chiku) หรือเขตเมืองเก่าทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ศิลปะโอฮะระ (Ohara Museum of Art) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะตะวันตกแห่งแรกในญี่ปุ่นก็ตั้งอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ภายในจัดแสดงผลงานศิลปะที่มีชื่อเสียงระดับโลก รวมถึงผลงานของเอล เกรโก, โกแก็ง, และโมเนต์ ซึ่งทำให้มีผู้คนมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมากอยู่เสมอจากทั้งในและนอกประเทศ
ในย่านประวัติศาสตร์บิคังชิคุ นักท่องเที่ยวสามารถล่องเรือกอนโดล่าชมความงามสองฝั่งแม่น้ำ ซึ่งเรียกว่า “คุระชิกิ คะวะบุเนะ นะงะชิ” (Kurashiki Kawabune Nagashi) ได้ในเวลากลางวัน สำหรับตอนกลางคืนตามถนนหนทางจะถูกโอบล้อมด้วยแสงไฟประดับสว่างนุ่มนวล ทำให้บริเวณนี้สวยงามรื่นรมย์เช่นกัน

เดินจากแม่น้ำคุระชิกิงะวะไปไม่ไกลก็จะถึง ฮมมะจิ (Honmachi) และฮิงะชิ-มะจิ (Higashi-machi) ที่ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้เห็นภาพอาคารบ้านเรือนท้องถิ่นแบบโบราณที่สวยงามเปี่ยมเสน่ห์ อาคารเหล่านี้มีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกับวิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นอย่างแนบแน่นนับแต่อดีต รวมทั้งโกดังสินค้าซึ่งปัจจุบันถูกนำมาปรับเป็นคาเฟ่ โรงแรม และบาร์ ย่านประวัติศาสตร์บิคังชิคุซึ่งเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ศิลปะโอฮะระและอาคารที่สวยงามทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากมายแห่งนี้ ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัด และในฐานะเมืองที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น

จากโตเกียว: (เครื่องบิน) 1 ชั่วโมง 15 นาทีจาก Haneda Airport สู่ Okayama Airport และ 30 นาทีจาก Okayama Airport สู่สถานี Okayama โดยรถบัส
(รถไฟ) 3 ชั่วโมง 20 นาทีจากสถานี Tokyo สู่สถานี Okayama โดยรถไฟ JR Tokaido-Sanyo Shinkansen และ 15 นาทีจากสถานี Okayama สู่สถานี Kurashiki โดยรถไฟ JR Sanyo Line
จากโอซาก้า: (รถไฟ) 50 นาทีจากสถานี Shin-Osaka สู่สถานี Okayama โดยรถไฟ Shinkansen
แหล่งข้อมูล: http://www.jnto.go.jp/eng/regional/okayama/kurashiki.html

โอะโนะมิจิ (Onomichi)

(จังหวัดฮิโรชิมะ ภูมิภาคชูโงะคุ)

– ศูนย์กลางการเดินเรือในเขตทะเลเซะโตะในสมัยโบราณ และเจดีย์ทะโฮโต 1 ใน 3 เจดีย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น –

โอะโนะมิจิ (Onomichi) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฮิโรชิมะ หันหน้าสู่ทะเลเซะโตะใน (Seto Inland Sea) และครอบคลุมพื้นที่จากทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตก เป็นเมืองท่าเรือที่สวยงามและเจริญรุ่งเรืองในฐานะศูนย์กลางการเดินเรือในเขตทะเลเซะโตะใน

ในโอะโนะมิจิมีวัดเก่าแก่อยู่หลายแห่งได้แก่ วัดเซนโคจิ (Senko-ji Temple) ซึ่งอยู่ระหว่างทางขึ้นเขาเซนโคจิ (Mt. Senkoji) โดดเด่นด้วยโบสถ์สีแดงสดที่เรียกกันว่า “โบสถ์แดง” ซึ่งสร้างอยู่บนไหล่เขาที่สูงชัน วัดโจโดจิ (Jodo-ji Temple) ซึ่งมีชื่อเสียงด้วยเจดีย์ทะโฮโต (Taho-to Tower) 1 ใน 3 เจดีย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น สวยงามด้วยโบสถ์และสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ตามแบบสถาปัตยกรรมจีน และอีกวัดหนึ่งที่จะพลาดไม่ได้เลยก็คือวัดไซโคะคุจิ (Saikoku-ji Temple) ซึ่งมีจุดเด่นคือรองเท้าแตะสานแบบญี่ปุ่นขนาดใหญ่กว่า 2 เมตรที่แขวนอยู่ด้านหน้าประตูนิโอมง (Nio Mon)

เมื่อขึ้นกระเช้าไฟฟ้าขึ้นสู่ยอดเขาเซนโคจิ นักท่องเที่ยวจะได้เห็นวิวมุมสูงของเมืองโอะโนะมิจิทั้งเมือง รวมถึงช่องแคบโอะโนะมิจิ (Onomichi Channel) ที่ระยิบระยับด้วยประกายแดด เกาะมุไคชิมะ (Mukai-shima Island) สีเขียวขจี บ้านเรือนที่เรียงรายอยู่ตามไหล่เขา และทัศนียภาพอันงดงามของทะเลเซะโตะใน บริเวณยอดเขาเป็นพื้นที่สวนสาธารณะที่มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย เช่น พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมืองโอะโนะมิจิ (Onomichi City Art Museum) เป็นต้น นอกจากนี้ผู้คนในท้องถิ่นก็ยังนิยมมาชมดอกซากุระที่สวนแห่งนี้อีกด้วย และหากข้ามสะพานไปยังเกาะมุไคชิมะ นักท่องเที่ยวก็จะได้เพลิดเพลินกับภาพทิวทัศน์ของเมืองโอะโนะมิจิได้จากชายทะเลด้วยเช่นกัน

จากโตเกียว: (เครื่องบิน) ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาทีจาก Haneda Airport สู่ Hiroshima Airport และ 15 นาทีจาก Hiroshima Airport สู่สถานี JR Shiraichi โดยรถบัส และ 40 นาทีจากสถานี Shiraichi สู่สถานี Onomichi โดยรถไฟ JR Sanyo Line
(รถไฟ) ประมาณ 3 ชั่วโมง 40 นาทีจากสถานี Tokyo สู่สถานี Fukuyama โดยรถไฟ JR Tokaido-Sanyo Shinkansen และ 20 นาทีจากสถานี Fukuyama สู่สถานี Onomichi โดยรถไฟ JR Sanyo Line
จากโอซาก้า: (รถไฟ) ประมาณ 60 นาทีจากสถานี Shin-Osaka สู่สถานี Fukuyama โดยรถไฟ JR Tokaido-Sanyo Shinkansen และ 20 นาทีจากสถานี Fukuyama สู่สถานี Onomichi โดยรถไฟ JR Sanyo Line
แหล่งข้อมูล: http://www.jnto.go.jp/eng/regional/hiroshima/onomichi_fukuyama.html

ศูนย์อนุรักษ์ภูมิทัศน์โยคะอิจิ โกะโคะคุ
(Youkaichi Gokoku Streetscape Preservation Center)

(จังหวัดเอะฮิเมะ ภูมิภาคชิโกะคุ)

– ภูมิทัศน์ถนนทางเดินที่เรียงรายไปด้วยบ้านเรือนสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ ราวกับฉากในภาพยนตร์ –

ในศตวรรษที่ 18 อุตสาหกรรมหลักของเมืองอุจิโกะ (Uchiko Town) ในจังหวัดเอะฮิเมะ คือการผลิตแว็กซ์ญี่ปุ่นซึ่งได้จากต้นไม้ ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่นำมาทำเป็นเทียนเท่านั้น หากแต่ยังใช้เคลือบเงาและนำมาเป็นส่วนผสมในครีมขี้ผึ้งต่างๆ ด้วย ทำให้เมืองนี้เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก เหล่าพ่อค้าวาณิชต่างก็พากันสร้างบ้านเรือนยิ่งใหญ่สวยงามเพื่อประชันขันแข่งกัน

ต่อมาในศตวรรษที่ 19 เมื่อผู้คนเริ่มหันมาใช้ปิโตรเลียมกันอย่างแพร่หลาย แว็กซ์ญี่ปุ่นจึงไม่ใช่สิ่งของจำเป็นอีกต่อไป ทำให้จำนวนผู้ผลิตและผู้ค้าค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามบ้านเรือนแต่ละหลังก็ยังคงความสวยงามไว้เช่นเดิม โดยไม่เคยแผ้วพานอัคคีภัยใดๆ เลย ในปี ค.ศ. 1982 ย่านโยคะอิจิ โกะโคะคุ (Youkaichi Gokoku) ในเมืองอุจิโกะได้รับเลือกจากหน่วยงานรัฐให้เป็นกลุ่มสิ่งปลูกสร้างโบราณทรงคุณค่าแห่งชาติ ซึ่งมีผลให้ความงามและคุณค่าอันสูงส่งของสิ่งปลูกสร้างในสมัยโบราณเหล่านี้ได้กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ

ลักษณะเด่นทางภูมิทัศน์ของถนนทางเดินเส้นนี้ ซึ่งมีความยาว 600 เมตรจากทิศเหนือไปทางทิศใต้ คือสถาปัตยกรรมในรูปแบบที่เรียกว่า ฮิระอิริ ทซึคุริ (Hirairi Zukuri) และมีกำแพงฉาบปูนปลาสเตอร์ทาสีเหลืองซีด บ้านแต่ละหลังตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นโบราณสวยจับตา คือมี กำแพงนะมะโกะ (namako walls), หน้าจั่ว, ลายปูนปั้น และหลังคามุงกระเบื้องลดหลั่นเป็นชั้นๆ นอกจากนี้ซอกเล็กๆ ระหว่างบ้านแต่ละหลังก็ยังมีความงามอันเป็นเอกลักษณ์ที่หาไม่ได้ในเมืองอื่น

ภูมิทัศน์ถนนทางเดินที่นี่ถือเป็นสมบัติล้ำค่าของเมืองนี้ และผู้ที่ทำหน้าที่อนุรักษ์สมบัติที่ว่านี้ก็คือ ศูนย์อนุรักษ์ภูมิทัศน์โยคะอิจิ โกะโคะคุ (Youkaichi Gokoku Streetscape Preservation Center) ซึ่งภายในจัดแสดงโครงสร้างบ้านเรือนและอุปกรณ์ก่อสร้างให้เข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด

ที่อยู่: 211 Shiromawari, Uchiko Town, Kita-Gun, Ehime
โทรศัพท์: 0893-44-5212
เวลาทำการ: 09:00 – 16:30
ค่าเข้าชม: ฟรี
วันหยุด: ทุกวันอังคารและวันหยุดราชการ
การเดินทาง: (รถไฟ) เดิน 20 นาทีจากสถานี Uchiko บน JR Yosan Line (4 ชั่วโมงจากสถานี Shin-Osaka)
แหล่งข้อมูล: http://www.jnto.go.jp/eng/spot/histtown/youkaichigokokustreetscapepreservationcenter.html

ท่าเรือเก่าโมะจิ (Moji Port Retro)

(จังหวัดฟุคุโอกะ ภูมิภาคคิวชู)

– พบกับสถาปัตยกรรมตะวันตกมากมายในบริเวณท่าเรือพาณิชย์ที่มีชื่อเสียง และมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศญี่ปุ่นให้ก้าวสู่ความทันสมัย –

Moji Port หรือท่าเรือโมะจิ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของคิวชู ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นท่าเรือพิเศษแห่งชาติสำหรับส่งออกสินค้า เช่น ถ่านหิน เป็นต้น ด้วยความได้เปรียบในทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ใกล้กับประเทศจีน ทำให้ท่าเรือแห่งนี้พัฒนาอย่างรวดเร็วในฐานะท่าเรือพาณิชย์ซึ่งมีเรือบรรทุกสินค้าและเรือขนส่งผู้โดยสารเข้าออกเป็นจำนวนมาก ท่าเรือแห่งนี้มีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศญี่ปุ่นให้ก้าวสู่ความทันสมัย และยังทำหน้าที่สำคัญในการเป็นฐานที่พักของกองทัพและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ในช่วงสงครามระหว่างญี่ปุ่นกับจีนรวมถึงสงครามกับรัสเซียด้วย ภายใต้กระแสการพัฒนาอย่างรวดเร็วนี้ ทำให้สถาบันการเงินและบริษัทการค้าหลายแห่งต่างก็รีบมาเปิดกิจการที่โมะจิกันเป็นการใหญ่ บริเวณรอบๆ ท่าเรือโมะจิจึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงต้นศตวรรษที่ 20

แม้ว่าท่าเรือโมะจิจะเฟื่องฟูตั้งแต่ในสมัยเมจิตลอดจนถึงช่วงต้นสมัยโชวะ แต่สถานที่แห่งนี้ก็เริ่มเข้าสู่ขาลงภายหลังจากที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สองและความต้องการในการใช้ถ่านหินเริ่มลดลง อย่างไรก็ตามสิ่งปลูกสร้างทรงคุณค่าทางสถาปัตยกรรมหลายแห่งในสมัยเมจิและสมัยไทโช รวมถึงอาคารที่ทำการศุลกากรโมะจิ (Moji Customs Building) ซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1912 สถานีรถไฟโมะจิซึ่งสร้างด้วยไม้ในปี ค.ศ. 1914 (ปัจจุบันคือสถานีโมจิโค / Mojiko Station), และอาคารโอซาก้าโชเซ็นเก่า (Former Osaka Shosen Building) ซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1917 ก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ และสถานที่แห่งนี้ก็ได้กลับมาอยู่ในความสนใจของผู้คนอีกครั้งหนึ่งในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม

ปัจจุบันนี้ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เรียกกันว่า “ย่านท่าเรือเก่าโมะจิ (Moji Port Retro Area)” และมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมมากถึงปีละ 2 ล้านคน นับเป็นสถานที่ที่คุ้มแก่การเดินทางมาเที่ยวชมภูมิทัศน์ที่แปลกตาและเต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างในรูปแบบสถาปัตยกรรมตะวันตกของที่นี่

ที่อยู่: Moji-ku, Kitakyushu City, Fukuoka
โทรศัพท์: 093-332-0106 (Mojiko Retro Club)
การเดินทาง: (รถไฟ) สถานี Mojiko บน JR Kagoshima Line (52 นาทีจากสถานี Hakata)
(รถยนต์) ทางออก Moji บนทางด่วน Kitakyushu Expressway
แหล่งข้อมูล: http://www.jnto.go.jp/eng/spot/histtown/moji-port-retro-area.html

โอคะวะจิยะมะ (Okawachiyama)

(จังหวัดซะกะ ภูมิภาคคิวชู)

– เยือนอะริตะแหล่งกำเนิดอุตสาหกรรมเครื่องเคลือบดินเผาของญี่ปุ่นและอิมะริ ศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนระหว่างตะวันออกและตะวันตก –

อะริตะ (Arita) แหล่งกำเนิดเครื่องเคลือบดินเผาของญี่ปุ่น เป็นเมืองเล็กๆ ที่โอบล้อมด้วยภูเขา ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของจังหวัดซะกะ Ri Sampei (ชื่อเกาหลี Lee Cham-Pyung) ช่างปั้นจากเกาหลีได้ค้นพบแร่หินขาวคุณภาพดีในบริเวณภูเขาอะริตะ-อิซุมิยะมะ (Arita-Izumiyama) ซึ่งการค้นพบครั้งนี้ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาของเมืองอะริตะสู่ความเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในเรื่องเครื่องเคลือบดินเผา ปัจจุบันนี้อนุสาวรีย์ของ Ri Sampei ตั้งอยู่ที่ศาลเจ้าซุเอะยะมะจินจะ (Sueyama-jinja Shrine) หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าศาลเจ้าโทซันจินจะ (Tozan-jinja Shrine) ซึ่งเป็นเหมือนศาลหลักเมืองของอะริตะ

บ้านเรือนที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสีขาวที่สร้างขึ้นในช่วงคริสตทศวรรษที่ 1930 และอาคารเก่าแก่สไตล์ตะวันตกยังคงมีให้เห็นอยู่มากมายในบริเวณอุจิยะมะ (Uchiyama) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีช่างปั้นอาศัยอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก ด้านหลังอาคารเหล่านี้เราจะได้เห็นรั้วทนไบ (Tonbai fences) ซึ่งสร้างขึ้นมาจากอิฐทนไฟและเครื่องปั้นดินเผาในยุคโบราณ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเครื่องปั้นดินเผาและภาชนะเครื่องเคลือบ สถานที่ที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือพิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาคิวชู (Kyushu Ceramic Museum) และพิพิธภัณฑ์ศิลปะเครื่องปั้นดินเผาอะริตะ (Arita Ceramic Art Museum) ซึ่งอยู่ในตัวเมือง

เมืองอิมะริ (Imari) ตั้งอยู่บนชายฝั่งอ่าวอิมะริ (Imari Bay) ระหว่างคาบสมุทรฮิงะชิมัตสึอุระ (Higashi Matsu-ura hanto Peninsula) กับคาบสมุทรคิตะมัตสึอุระ (Kita Matsu-ura hanto Peninsula) เป็นท่าเรือธรรมชาติที่สวยงามและครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนด้านเครื่องเคลือบดินเผาระหว่างตะวันออกและตะวันตก ร่องรอยแห่งความรุ่งเรืองในอดีตยังคงปรากฎให้เห็นในโอคะวะจิยะมะ (Okawachiyama) ศูนย์เครื่องปั้นดินเผาที่แยกตัวอยู่อย่างสันโดษท่ามกลางภูเขา ในศตวรรษที่ 17 และ 18 ที่นี่เป็นแหล่งผลิตเครื่องบรรณาการชั้นดีสำหรับถวายให้ราชสำนักและเหล่าโชกุน ดังนั้นขั้นตอนการผลิตและตัวศิลปินช่างปั้นเองจึงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวด

จากโตเกียว: (เครื่องบิน) 1 ชั่วโมง 50 นาทีจาก Haneda Airport สู่ Fukuoka Airport และ 5 นาทีจาก Fukuoka Airport สู่สถานี Hakata โดยรถไฟใต้ดิน จากนั้นอีก 1 ชั่วโมง 20 นาทีจากสถานี Hakata สู่สถานี Arita โดยรถไฟ JR Nagasaki Sasebo Line (limited express) และ 25 นาทีจากสถานี Arita สู่สถานี Imari โดยรถไฟ Matsuura Railway Nishi Kyushu Line
(รถไฟ) 5 ชั่วโมงจากสถานี Tokyo สู่สถานี Hakata โดยรถไฟ JR Tokaido-Sanyo Shinkansen
จากโอซาก้า: (เครื่องบิน) 1 ชั่วโมง 15 นาทีจาก Itami Airport สู่ Fukuoka Airport
(รถไฟ) 2 ชั่วโมง 30 นาทีจากสถานี Shin-Osaka สู่สถานี Hakata โดยรถไฟ Shinkansen
แหล่งข้อมูล: http://www.jnto.go.jp/eng/regional/saga/arita_imari.html

หมู่บ้านซามูไรอิซุมิ-ฟุโมะโตะ (Izumi-fumoto Samurai Residences)

(จังหวัดคะโงะชิมะ ภูมิภาคคิวชู)

– เมืองที่เป็นด่านคุ้มกันชายแดนอายุกว่า 400 ปี เงาแห่งอดีตสมัยเอโดะยังคงปรากฎชัดในเมืองแห่งนี้ ผ่านบ้านซามูไรยุคก่อนที่ยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี –

ทุกวันนี้บริเวณรอบๆ ฟุโมะโตะโจ (Fumotocho) ในเมืองอิซุมิ (Izumi City) จังหวัดคะโงะชิมะเป็นพื้นที่สำหรับอยู่อาศัย แต่ในสมัยก่อนที่นี่เคยเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเนินสูงต่ำตรงเชิงเขาปราสาท ต่อมาเมื่อประมาณ 400 ปีก่อนได้มีการปรับพื้นที่ให้ราบโดยไดเมียวผู้ครอง 3 รุ่น ซึ่งใช้เวลายาวนานถึง 30 ปี จนในที่สุดบริเวณนี้ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นบ้านเรือนที่อยู่อาศัยและฐานที่อยู่ของซามูไรผู้ถูกส่งตัวมายังเมืองอิซุมิ เนื่องจากเมืองอิซุมิเป็นส่วนหนึ่งในแคว้นซัตสึมะ (Satsuma Domain / ปัจจุบันคือจังหวัดคะโงะชิมะ) และอยู่ติดกับแคว้นฮิโงะ (Higo Domain / ปัจจุบันคือจังหวัดคุมะโมโตะ) จึงจำเป็นต้องมีการสั่งสมกำลังพลไว้เพื่อรักษาชายแดนและรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ

ต่อมาจึงเริ่มมีการสร้างถนนหนทางและกำแพงหินขึ้น ซึ่งจากอดีตจวบจนปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น บ้านซามูไรรวมถึงประตูรั้วในยุคโบราณจำนวนมากยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ดังนั้นภาพแห่งอดีตในสมัยเอโดะ (1603-1868) จึงยังปรากฎอยู่อย่างแจ่มชัดภายในพื้นที่ขนาด 440,000 ตารางเมตรแห่งนี้ นักท่องเที่ยวจะได้เพลิดเพลินไปกับการเดินชมบรรยากาศเมืองเอโดะ และยังสามารถเข้าไปชมภายในบ้านซามูไรสมัยก่อนได้อีกด้วย ได้แก่ บ้านทะเคะโซะเอะ (Takezoe House) และบ้านทะเคะมิยะ (Takemiya House) ซึ่งเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้บางส่วน รวมถึงบ้านไซโช
(Saisho House) ซึ่งเปิดให้เข้าชมได้หมดทุกส่วน เป็นโอกาสดีสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะได้เข้าไปสัมผัสกับบรรยากาศของสถานที่เหล่านี้และเยี่ยมชมบ้านของเหล่าซามูไรในสมัยเอโดะจริงๆ

ที่อยู่: Fumoto-cho, Izumi City, Kagoshima
โทรศัพท์: 0996-63-4061 (แผนกการค้าและการท่องเที่ยว เมืองอิซุมิ)
การเดินทาง: (รถไฟ) ขับรถ 5 นาทีจากสถานี Izumi บน JR Kyushu Shinkansen
(70 นาทีจากสถานีจากสถานี Hakata)
แหล่งข้อมูล: http://www.jnto.go.jp/eng/spot/histtown/izumi-fumotoamurai-residences.html