Scenery

นี่คือสวรรค์ของนักท่องเที่ยวที่หลงใหลธรรมชาติและชอบบรรยากาศป่าเขา เทือกเขาชิราคามิซันจิ มีพื้นที่ครอบคลุมระหว่างจังหวัดอาโอโมริ และจังหวัดอาคิตะ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติเป็นที่แรกของญี่ปุ่น

บริเวณเทือกเขารายล้อมด้วยผืนป่าต้นบีชโบราณที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นที่ตั้งของแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลากหลาย เช่น แกรนด์แคนยอนแห่งญี่ปุ่น, สิบสองทะเลสาบแห่งจูนิโคะ (Juniko Twelve Lakes) ซึ่งประกอบไปด้วยทะเลสาบ 33 แห่ง และบึงน้อยใหญ่

กิจกรรมที่น่าสนใจที่เทือกเขาชิราคามิซันจิ คือการเดินป่าตามฤดูกาล โดยจะมีให้เลือกทั้งคอร์สสั้นๆ สำหรับมือใหม่ ไปจนถึงคอร์สยาว หากต้องการไกด์นำทาง เพื่อเพิ่มประสบการณ์การเดินป่าให้สนุกมากยิ่งขึ้น ก็สามารถนัดเจอกับไกด์ที่ร้านขายของฝากเคียวโระโระ (Kyororo Forest Produce Center) ได้

คอร์สที่แนะนำคือคอร์ส ‘World Heritage Beech Forest Trail’ ซึ่งในช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะได้เห็นผืนป่าผลัดใบเป็นสีส้ม สลับแดง แต่งแต้มให้บรรยากาศมีชีวิตชีวา ระหว่างทางจะพบกับทะเลสาบอะโออิเคะ (Blue Pond) เป็นที่แรก จุดเด่นของทะเลสาบแห่งนี้คือ สีของน้ำจะออกไปทางโทนสีฟ้าใส เฉลี่ยความลึกอยู่ที่ประมาณ 9 เมตร มีอุณหภูมิที่คงที่ตลอดปีอยู่ที่ 8.5 - 9 องศาเซลเซียส จึงทำให้พืชที่อยู่ใต้น้ำโดยเฉพาะขอนไม้ไม่เน่าเปื่อย อีกทั้งน้ำในสระก็ไม่แข็งเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว ส่วนในฤดูร้อนหากโชคดี จะสามารถเห็นฝูงลิงลงมาเล่นน้ำที่สระแห่งนี้

นอกจากนี้จะผ่านทะเลสาบวะกิสึโบะ (Wakitsubo) ซึ่งเป็นสระที่เกิดจากบ่อน้ำผุดไหลมารวมกัน น้ำเป็นสีฟ้าเหมือนสระแรก แต่ตื้นกว่าเพราะลึกเพียง 3 เมตร และสำหรับใครที่มีเวลาก็สามารถแวะไปดื่มชาเขียว และขนมหวานได้ฟรีที่โรงน้ำชา ซึ่งน้ำต้มชาก็ได้มาจากบ่อน้ำผุดบนเทือกเขานี้นั่นเอง

สำหรับใครที่มาเยือนญี่ปุ่นแล้วคาดหวังได้เห็นภาพความงามของใบไม้เปลี่ยนสี สวนนาคะโนะ โมมิจิยามะ (Nakano Momijiyama) น่าจะตอบโจทย์

สวนแห่งนี้เป็นสวนเก่าแก่ของเมืองคุโระอิชิ (Kuroishi) ขึ้นชื่อเรื่องใบไม้เปลี่ยนสีในภูมิภาคโทโฮคุ ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น ในปี ค.ศ.1802 ไดเมียวที่ทำการปกครองอยู่ในขณะนั้น ได้นำต้นเมเปิ้ลมากกว่า 100 สายพันธุ์จากเกียวโต (Kyoto) มาปลูก จึงทำให้ทัศนียภาพของผืนป่าแห่งนี้สวยเหมือนกับที่อะระชิยะมะ (Arashiyama) และได้รับขนานนามเป็น ลิตเติ้ล อะระชิยะมะ (Little Arashiyama)

โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิ กลางเดือนตุลาคม ถึงต้นเดือนพฤศจิกายน ต้นเมเปิ้ลจะพร้อมใจกันผลัดใบเป็นสีส้มปนแดง สร้างความสวยงาม แต่งแต้มให้น้ำตก และลำธารมีภายในสวนมีสีสันให้น่ามองมากยิ่งขึ้น ในช่วงนี้จะมีการประดับไฟไลท์อัพหลังพระอาทิตย์ตกดินอีกด้วย

นอกจากต้นเมเปิ้ลที่มีอายุกว่า 200 ปีแล้ว ยังมีต้นสนอายุ 600 กว่าปี อีกทั้งยังมีศาลเจ้านาคะโนะ (Nakano Shrine) ให้แวะสักการะ

โดยจุดถ่ายภาพยอดนิยมจะอยู่บริเวณทางเข้า จะเห็นเป็นโค้งน้ำ ซึ่งก็คือแม่น้ำนาคะโนะ (Nakano River) ไหลผ่านเป็นตัวรูปตัว U ทางขวามือคือสะพานสีแดง และมีภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยสีสันของใบเมเปิ้ลทอดยาวอยู่เป็นฉากหลัง

นักเดินทางที่ชื่นชอบธรรมชาติแนะนำให้หาโอกาสไปเยือน ฮะจิมันไต (Hachimantai) สักครั้ง นี่คือพื้นที่ภูเขาไฟที่ครอบคลุม 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอิวาเตะ และจังหวัดอาคิตะ ในแต่ละฤดูกาลทิวทัศน์ของที่แห่งนี้จะมีความสวยงามแตกต่างกันไป โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีผู้มาเยือนสามารถเดินป่าชมใบไม้เปลี่ยนสีอย่างเพลิดเพลินได้

นอกจากนี้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิจะมีกำแพงหิมะที่สามารถพบเห็นบนถนน (Hachimantai Snow Corridor) ความยาว 27 กิโลเมตร ในฤดูร้อนจะมีปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่เรียกว่า Dragon Eye หรือ ดวงตามังกร ซึ่งเกิดจากการละลายของหิมะในบึงคะงะมิ (Kagami Pond) ส่วนฤดูหนาวก็มีกิจกรรมสนุกๆ กับหิมะ เช่น สกี สโนว์บอร์ด สโนว์ชูว์

หลังจากที่เดินชมธรรมชาติ นั่งรถไปอีกประมาณ 15 นาทีก็สามารถชมทัศนียภาพแปลกตาของธารลาวาของภูเขาอิวาเตะที่เมืองฮะจิมันไต เป็นลานลาวาหินสีดำที่แผ่เป็นบริเวณกว้างกว่า 1.5 กิโลเมตร และ ยาวถึง 3 กิโลเมตร หากมาช่วงที่หิมะปกคลุมอาจจะได้พบเห็นรอยเท้าของสัตว์ป่าต่างๆ เช่น กระรอก กระต่าย สุนัขจิ้งจอก และแรคคูนด้วย

ศาลเจ้าโกะซะโนะอิชิ ตั้งอยู่บริเวณทะเลสาบทะซะวะ (Lake Tazawa) เมืองเซ็มโบะคุ จังหวัดอาคิตะ ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อ ปี ค.ศ.1650 เอกลักษณ์ของศาลเจ้าแห่งนี้คือเสาโทริอิสีแดงสดขนาดใหญ่ยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเลสาบทะซะวะ ซึ่งได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน 100 อันดับทิวทัศน์ที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น น้ำในทะเลสาบใสสะอาดถึงขนาดมองเห็นปลาว่ายน้ำได้เลย

นอกจากนี้ทะเลสาบนี้ยังมีความลึกมากที่สุดในญี่ปุ่น โดยจุดที่ลึกที่สุดนั้นมีความลึกถึง 423.4 เมตร จึงทำให้น้ำในทะเลสาบมีหลายเฉดสีตามระดับความลึก นอกจากนี้ยังมีตำนานเล่าขานว่ามีหญิงสาวนามว่าทัตสึโกะ (Tatsuko) มาขอพรเรื่องความงาม ภายหลังได้กลายเป็นเทพธิดาแห่งความงามสถิตอยู่ในศาลเจ้าแห่งนี้ จึงเป็นที่มาของการสักการะขอพรเรื่องความงาม

หน้าทะเลสาบอันกว้างใหญ่จึงมีรูปปั้นทัตสึโกะ เป็นรูปปั้นหญิงสาวสีทองยืนอยู่ริมทะเลสาบ และเป็นจุดท่องเที่ยวและจุดถ่ายภาพชื่อดังของทะเลสาบทะซะวะ

เสน่ห์ของสวนซากปราสาทโมริโอกะนั้นสามารถดึงดูดได้ทั้งผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติและสนใจประวัติศาสตร์ สวนแห่งนี้สร้างเมื่อปี ค.ศ.1597 ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน 100 อันดับ สวนทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นอีกด้วย

สำหรับนักเดินทางที่อยากชื่นชมความงามของธรรมชาติ สวนสาธารณะแห่งนี้ก็มีความสวยงามแตกต่างกันไปตามฤดูกาล ในฤดูใบไม้ผลิก็จะมีดอกซากุระบานสะพรั่งเต็มสวน ส่วนในฤดูฝนก็จะมีดอกไฮเดรนเยียหลากสีสันให้ชม ในฤดูใบไม้ร่วงก็จะพบกับใบเมเปิ้ล และใบแปะก๊วยแต่งแต้มสีแดงเหลืองไว้อย่างสวยงาม และในฤดูหนาวที่นี่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน ถือเป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองโมริโอกะที่ไม่อยากให้พลาด

ฤดูกาลที่อยากแนะนำเป็นพิเศษคือช่วงใบไม้เปลี่ยนสี บริเวณบ่อน้ำคาเมะกะอิเคะ (Kamegaike) ข้างปราสาท เป็นหนึ่งจุดไฮไลต์ที่แนะนำสำหรับการมาเยือนช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสี บริเวณนี้จะมีต้นแปะก๊วยที่มีใบสีเหลืองอร่ามร่วงหล่นบนพื้นราวกับพรมสีเหลือง แถมยังมีลูกแปะก๊วยที่นิยมนำมาทานกันหล่นอยู่ด้วย ถ้าเดินข้ามสะพานมาฝั่งตรงข้ามก็จะพบกับพรมสีแดงของใบเมเปิ้ล เป็นจุดที่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพสวยๆ และเชื่อว่าใครที่มาเยือนก็น่าจะประทับใจ เพราะได้ชมความงดงามของทั้งใบเมเปิ้ลและใบแปะก๊วยพร้อมกัน

หากจะมีสถานที่ที่ทำให้ผู้มาเยือนสัมผัสได้ถึงความงดงาม และพลังของธรรมชาติ น้ำตกอะคิอุ (Akiu Otaki Falls) ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่บ้านอะคิอุ (Akiu) เมืองเซนได (Sendai) ในจังหวัดมิยากิ (Miyagi) ย่อมเป็นหนึ่งในนั้น

น้ำตกที่มีความกว้าง 6 เมตร และความสูงกว่า 55 เมตร แห่งนี้ได้รับการยกย่องเรื่องความยิ่งใหญ่และงดงามจนได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 100 สุดยอดน้ำตกที่เป็นจุดชมวิวชื่อดังของญี่ปุ่น และเป็น 1 ใน 3 น้ำตกอันทรงพลังของญี่ปุ่นอีกด้วย

ภาพน้ำไหลลงจากที่สูงตามแรงโน้มถ่วงของโลก ทำให้เกิดภาพอันงดงามราวภาพวาดจากฝีมือศิลปินชั้นเลิศ บวกกับทัศนียภาพโดยรอบที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติยิ่งทำให้สถานที่แห่งนี้สามารถสะกดผู้มาเยือนให้คล้ายตกอยู่ในภวังค์ โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ทิวทัศน์โดยรอบจะถูกย้อมสีกลายเป็นสีส้มปนเหลืองสลับแดงดูสดใสมีชีวิตชีวา โดยที่แห่งนี้นับเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของเมืองเซนได

ไฮไลต์ที่สำคัญอีกช่วงคือในฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็นมากที่สุดช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ น้ำตกจะแข็งตัวกลายเป็นเสาน้ำแข็งที่ย้อยลงมาจากหินผา ซึ่งเป็นความงดงามอันแปลกตาที่เกิดจากธรรมชาติรังสรรค์ ส่วนช่วงต้นฤดูร้อนก็มีความงามอีกแบบ ต้นไม้ใบหญ้าจะเขียวชอุ่มเป็นพิเศษ

ระหว่างทางเดินเข้าไปชมน้ำตกจะมีวัดอะคิอุ โอทะกิ ฟุโดซน (Akiu Otaki Fudoson) ตั้งอยู่ ด้านในมีต้นแปะก๊วยขนาดใหญ่ยักษ์ซึ่งเป็นต้นไม้อนุรักษ์ของเมือง ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีนี้ใบแปะก๊วยจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง เป็นอีกภาพธรรมชาติอันงดงามที่ต้องเดินทางมาเห็นด้วยสายตาตัวเอง

นอกจากนี้บริเวณใกล้กับลานจอดรถจะมีร้านค้าเรียงรายหลายร้าน มีทั้งขนม เครื่องดื่ม และของฝากพื้นเมืองให้เราได้แวะจับจ่าย เมนูดังโงะย่าง (Dango) ก็อร่อยจนอยากให้ลองชิม

นี่คือสวรรค์ของคนที่หลงใหลหลงรักดอกโบตั๋น

สวนดอกโบตั๋นขนาดใหญ่แห่งนี้ ในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงกลางเดือนพฤษภาคมจะมีดอกโบตั๋นกว่า 290 สายพันธุ์ บานสะพรั่งทั่วทั้งสวนมากถึงราว 7,000 ดอก

สวนดอกโบตั๋นสุคะกาวะ (Sukagawa Peony Garden) เป็นสวนดอกไม้ที่มีชื่อเสียงแห่งจังหวัดฟุกุชิมะ (Fukushima) ที่มีประวัติยาวนานกว่า 250 ปี โดยแต่เดิมเริ่มจากการนำต้นกล้ามาเพาะเพียงเพื่อเป็นยารักษาโรคเท่านั้น และต่อมาใช่ช่วงยุคเมจิตอนต้น ได้มีการเข้ามาดูแลการเพาะปลูกดอกโบตั๋น และเพิ่มจำนวนสายพันธุ์ทุกปี จนกลายเป็นสวนที่เต็มไปด้วยต้นโบตั๋นโบราณ อายุหลายร้อยปีให้ชม และบางต้นก็เป็นสายพันธุ์ที่หาชมได้ยากมาก ๆ

นอกจากดอกโบตั๋นที่นี่ยังมีดอกไม้อื่น เช่นดอกกุหลาบและดอกไอริสญี่ปุ่น บานอวดโฉมให้ได้ชมเช่นกัน และในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน ต้นโมมิจิจะผลัดใบ ย้อมให้ป่าทั่วทั้งบริเวณสวนกลายเป็นสีแดงสลับส้ม เหลือง ซึ่งเป็นภาพอันแสนงดงาม

รถไฟสายเจอาร์ ทะดะมิ (JR Tadami Line) เป็นรถไฟท้องถิ่นที่อยู่ภายใต้การดูแลของ East Japan Railway หรือ JR EAST

รถไฟสายนี้วิ่งเชื่อมระหว่างเมืองไอซุวะกะมัทสึ (Aizuwakamatsu) จังหวัดฟุกุชิมะ (Fukushima) และเมืองอุโอะนุมะ (Uonuma) จังหวัดนีงาตะ (Niigata) เส้นทางสายนี้เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1942 โดยผ่านทั้งหมด 36 สถานี รวมระยะทางทั้งสิ้น 135.2 กิโลเมตร นอกจากนี้รถไฟสายเจอาร์ ทะดะมิ (JR Tadami Line) ยังได้รับเสียงโหวตให้เป็นเป็นอันดับ 1 ในการจัดอันดับสายรถไฟท้องถิ่นญี่ปุ่นตะวันออกที่คนชื่นชอบมากที่สุด

ระหว่างที่โดยสารรถไฟเจอาร์ทะดะมิ จะได้เพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์สองข้างทางที่แตกต่างกันไปตามแต่ละฤดูกาล ประมาณช่วงปลายเดือนตุลาคมต้นไม้บนภูเขาในเขตโอคุ-ไอซุ (Oku-Aizu) จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีกลายเป็นสีส้มหรือแดงสลับกันไป

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงคือบริเวณวัดเอ็นโซจิ (Enzoji Temple) เมืองยะไนซุ (Yanaizu) จังหวัดฟุกุชิมะ (Fukushima) ซึ่งอยู่ระหว่างทางที่เดินทางมาจากสถานี Aizu-Takada ไปยังสถานี Aizu-Miyashita และไฮไลต์สำคัญบนเส้นทางรถไฟสายนี้อยู่ที่จุดชมวิวและจุดถ่ายภาพยอดนิยมบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำทะดะมิ หมายเลข 1 (Tadami River First Bridge) ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานี Aizu-Miyashita ในจังหวะที่รถไฟกำลังวิ่งข้ามสะพานนั้นถือเป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมที่นักถ่ายภาพไม่ควรพลาด

การซื้อตั๋วโดยสาร

สามารถซื้อได้ตั๋วโดยสารได้จากสถานีต้นทางเหมือนเวลาขึ้นรถไฟปกติ และสามารถใช้ Japan Rail Pass และ JR East Pass (Tohoku Area) ได้