เที่ยวแบบ New Normal สนุก ปลอดภัย ตะลอนไปกับเส้นทางขับรถ ภูมิภาคชิโกะคุ (Shikoku) ตอนที่ 2

เที่ยวญี่ปุ่นแบบ New Normal สนุก ปลอดภัย ตะลอนไปกับเส้นทางขับรถ ภูมิภาคชิโกะคุ (Shikoku) ตอนที่2 
คือ การเดินทางไปท่องเที่ยวตามเมืองต่างๆ ในภูมิภาคชิโกะคุ (Shikoku) พร้อมสัมผัสมนต์เสน่ห์ความงดงามของธรรมชาติ วัฒนธรรม อาหารการกิน และวิถีชีวิตของผู้คนผ่านเส้นทางจังหวัดโอซาก้า (Osaka) จังหวัดเฮียวโงะ (Hyogo) จังหวัดโอคะยะมะ (Okayama) จังหวัดฮิโรชิมะ (Hiroshima) จังหวัดเอะฮิเมะ (Ehime) และจังหวัดโคชิ (Kochi) เป็นระยะเวลา 5 วัน

โดยการขับรถเที่ยวสามารถปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางต่างๆ ในเวลาท่องเที่ยวจริงได้อีกด้วย

ระยะเวลาการเดินทาง 5 วัน

เส้นทางชิมะนะมิไคโด (Shimanami Kaido) คือถนนที่เชื่อมระหว่างเมืองโอะโนะมิจิ (Onomichi) ของจังหวัดฮิโรชิมะ (Hiroshima) ในเกาะฮอนชู (Honshu Island) และเมืองอิมาบาริ (Imabari) ของจังหวัดเอะฮิเมะ (Ehime) ในภูมิภาคชิโกะคุ (Shigoku) มีชื่อทางการว่า ทางด่วนนิชิเซโตะ (Nishi-Seto Expressway) มีสะพานขนาดใหญ่เชื่อมระหว่าง 6 เกาะ ได้แก่ เกาะมุไคชิมะ (Mukaishima) เกาะอินโนะชิมะ (Innoshima) เกาะอิคุชิจิมะ (Ikuchijima) เกาะโอมิชิมะ (Omishima) เกาะฮะคะตะจิมะ (Hakatajima) และเกาะโอชิมะ (Oshima) เป็นระยะทางรวมทั้งสิ้น 70 กิโลเมตร

เส้นทางสายนี้ไม่ได้มีแค่เลนสำหรับรถยนต์เท่านั้น แต่ยังมีเลนสำหรับจักรยานด้วย จึงเป็นเส้นทางปั่นจักรยานข้ามทะเลที่ได้รับความนิยมอย่างมาก มีจุดให้เช่าจักรยานอยู่หลายแห่ง ใครที่ชื่นชอบการปั่นจักรยานจึงไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง เส้นทางชิมะนะมินามิไคโด (Shimanami Kaido) เป็นเส้นทางเดียวในญี่ปุ่นที่มีเลนสำหรับปั่นจักรยานอยู่บนสะพาน พร้อมชมทัศนีภาพอันสวยงามของทะเลและเกาะเบื้องล่างที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ทะเลอีเจียนแห่งเอเชีย” ช่วงเวลาที่เหมาะในการมาขี่จักรยานประมาณเดือนเมษายนถึงตุลาคม เนื่องจากอากาศเย็นสบาย เส้นทางนี้นับเป็นเส้นทางปั่นจักรยานยอดนิยมที่เหล่านักปั่นทั้งหลายจะได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์หมู่เกาะอันงดงามขณะที่โลดแล่นไปบนสะพานขนาดยักษ์ซึ่งเชื่อมเกาะน้อยใหญ่ในทะเลเซโตะใน (Seto Inland Sea)

สำหรับผู้ที่จะเริ่มออกสตาร์ทจากฝั่งเมืองโอะโนะมิจิในจังหวัดฮิโรชิมะ แนะนำให้เริ่มจากศูนย์เช่าจักรยานบริเวณท่าเรือโอะโนะมิจิ (Onomichi Port Rental Cycle Terminal) ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ JR โอะโนะมิจิ (JR Onomichi Station) ซึ่งสามารถจองเช่าจักรยานล่วงหน้าทางอินเทอร์เน็ตได้ด้วยซึ่งนับว่าสะดวกมากค่ะ (ดูรายละเอียดในลิงค์ด้านล่าง) ส่วนผู้ที่ต้องการเริ่มออกสตาร์ทจากฝั่งอิมาบาริในจังหวัดเอะฮิเมะนั้น แนะนำให้เริ่มจากศูนย์เช่าจักรยาน “ซันไรส์ อิโตะยะมะ (Sunrise Itoyama)” ที่เต็มไปด้วยร้านให้เช่าจักรยานของรัฐถึง 13 ร้าน สามารถปั่นจักรยานจากอิมาบาริไปยังโอะโนะมิจิเพียงเที่ยวเดียวได้โดยไม่ต้องปั่นข้ามกลับมา และยังสามารถโดยสารเรือหรือรถบัสเพื่อไปปั่นจักรยานเล่นเฉพาะบนเกาะที่ต้องการได้อีกด้วย

ฟาร์มโลมาชิมะนะมิ (Dolphin Farm Shimanami) ตั้งอยู่บริเวณริมชายหาดฮะคะตะ (Hakata Beach) เมืองอิมาบาริ (Imabari) จังหวัดเอะฮิเมะ (Ehime) ที่ใกล้กับจุดพักรถฮะคะตะเอสซีพาร์ค (Roadside Station Hakata SC Park) เมืองอิมาบาริ (Imabari) ฟาร์มแห่งนี้เป็นฟาร์มโลมาขนาดใหญ่ที่สุดที่ผู้มาเยือนสามารถสัมผัสกับโลมาได้ ครอบคลุมพื้นที่ในทะเลกว่า 13,000 ตร.ม. และยังรวมพื้นที่บนบกอีก 10,800 ตร.ม.

นักท่องเที่ยวที่มาเยือนสามารถใกล้ชิดกับเหล่าโลมาแสนรู้ได้ในพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้ นอกจากจะชมแล้วยังสามารถสัมผัสกับโลมาแสนรู้ ให้อาหาร รวมไปถึงกิจกรรมสุดพิเศษอย่างการว่ายน้ำกับโลมาโดยจับครีบของโลมาแหวกว่ายไปทั่วอย่างน่าตื่นเต้น

นอกจากโซนโลมาแล้วฟาร์มโลมาชิมะนะมิ (Dolphin Farm Shimanami) ยังมีบ้านพักและพื้นที่สำหรับกางเต็นท์สำหรับคนที่ต้องการมาพักค้างคืน เพื่อจะได้มีเวลาสนุกกับเหล่าโลมาได้อย่างเต็มอิ่มกันทั้งวันอีกด้วย สำหรับผู้ที่มาพักค้างคืนก็จะได้ชมโชว์พิเศษในตอนกลางคืนที่ไม่สามารถชมได้ในช่วงเวลาปกติอีกด้วย

จุดพักรถโยชิอุมิอิคิอิคิคัง (Roadside Station Yoshiumi Iki-iki-kan) เป็นจุดพักรถที่ตั้งอยู่บนเกาะโอมิชิมะ (Omishima) เมืองอิมาบาริ (Imabari) ของจังหวัดเอะฮิเมะ (Ehime) ที่นี่เป็นจุดพักรถริมทะเลที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีห้องน้ำสะอาด มุมจำหน่ายของฝาก หรือวัตถุดิบจากในท้องถิ่น รวมถึงร้านอาหารทะเลที่ให้เราลิ้มลองกับบาร์บีคิวรสเลิศย่างบนเตาถ่าน จะเลือกแบบเซ็ตหรือจะเลือกวัตถุดิบเองก็ได้

นอกจากนี้ขณะที่เพลิดเพลินกับอาหารทะเลปิ้งย่างบาร์บีคิวก็สามารถที่จะชมวิวความงามของเกาะเล็กเกาะน้อยในทะเลเซโตะใน (Seto Inland Sea) และใกล้ ๆ กัน ยังเป็นจุดขึ้นเรือชมกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวของช่องแคบคุรุชิมะ (Kurushima Kaikyo) แห่งช่องแคบคุรุชิมะ (Kurushima) ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวที่สุดของญี่ปุ่น รวมถึงทิวทัศน์ของสะพานคุรุชิมะไคเคียว (Kurushima Kaikyo Bridge) ซึ่งเป็นสะพานแห่งแรกของโลกที่เชื่อมสะพานแขวนสามแห่งเข้าด้วยกันเป็นไฮไลน์สำคัญของกิจกรรมในแถบนี้เช่นกัน

จุดชมวิวภูเขาคิโระซัง (Kirosan Observatory Park) ตั้งอยู่บนภูเขาคิโระ (Mount Kiro) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้สุดของเกาะโอชิมะ (Oshima) หนึ่งในหกเกาะย่อยในละแวกนี้ ในจังหวัดเอะฮิเมะ (Ehime) เป็นจุดชมวิวที่มีความสูงถึง 307.8 เมตร ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยงามที่สุดบนเส้นทางชิมะนะมิไคโด (Shimanami Kaido) เพราะสามารถมองเห็นวิวพาโนรามาแบบ 360 องศาได้ และยังได้รับการยอมรับเรื่องความโดดเด่นของสถาปัตยกรรมและการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์อีกด้วย

หากวันไหนอากาศดีก็จะสามารถมองเห็นวิวไปได้ไกลถึงภูเขาอิชิซุจิ (Mount Ishizuchi) ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดของญี่ปุ่นฝั่งตะวันตก ในช่วงเย็นสามารถชมทิวทัศน์ของพระอาทิตย์ตกดินและสะพานคุรุชิมะไคเคียว (Kurushima Kaikyo Bridge) ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

ผ้าขนหนูอิมาบาริ (Imabari Towel) ของจังหวัดเอะฮิเมะ (Ehime) เป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูงและมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น พิพิธภัณฑ์ผ้าขนหนูอิจิฮิโระ (Towel Museum ICHIHIRO) ตั้งอยู่ที่เมืองอิมาบาริ (Imabari City) ในจังหวัดเอะฮิเมะ (Ehime)

ภายในพิพิธภัณฑ์แบ่งออกเป็นโซนต่างๆ ได้แก่ โซนจัดแสดงประวัติความเป็นมาของกระบวนการผลิตผ้าขนหนู โซนจัดแสดงไลน์การผลิตที่มีระยะทางยาวกว่า 120 เมตร ผลงานศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากผ้าขนหนู และมีการนำด้ายหลากสีสันซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตมาประดับตามฝาผนัง เป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมที่ไม่ควรพลาด

นอกจากนี้ยังมีโซนร้านอาหารที่รวบรวมอาหารอร่อยจากทั้งในท้องถิ่นและจากภูมิภาคอื่นทั่วญี่ปุ่น และมีคาเฟ่อย่าง Garden café กับ Moomin café ให้มาจิบน้ำชากาแฟกันอย่างชิล ๆ รวมทั้งยังจำหน่ายสินค้าที่ผลิตมาจากผ้าขนหนู รวมถึงสินค้าขึ้นชื่ออื่น ๆ ของภูมิภาคชิโกะคุ (Shikoku) ให้ได้เลือกซื้อกลับไปเป็นของฝากได้อีกด้วย

เมืองน้ำพุร้อนโดโกะอนเซ็น (Dogo Onsen) อยู่ห่างจากตัวเมืองมัตสึยะมะ (Matsuyama) จังหวัดเอะฮิเมะ (Ehime) ประมาณ 30 นาที เป็นแหล่งอนเซ็นยอดนิยมที่มีนักท่องเที่ยวจากทั้งในและต่างประเทศมาเยือนเป็นจำนวนมาก อนเซ็นแห่งนี้เป็นเมืองน้ำพุร้อนที่เป็น 1 ใน 3 อนเซ็นที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3,000 ปี สัญลักษณ์ของโดโกะอนเซ็นอยู่ที่ตัวอาคารหลัก โดโกะอนเซ็น ฮงคัง (Dogo Onsen Honkan) ซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1894 โดยได้รับการกำหนดให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมสำคัญของญี่ปุ่น
นอกจากการมาแช่อนเซ็นแล้วต้องไม่พลาดการถ่ายรูปด้านหน้าอาคารเป็นที่ระลึกด้วย เพราะโรงอาบน้ำโดโกะอนเซ็น ฮงคัง (Dogo Onsen Honkan) แห่งนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้สร้างภาพยนตร์อนิเมชั่นชื่อดังอย่างเรื่อง Spirited Away ของ Studio Ghibli อีกด้วย

อาคารหลักนี้เป็นอาคารไม้ 3 ชั้น ซึ่งเปิดให้คนภายนอกเข้าไปแช่น้ำผ่อนคลายภายในได้ น้ำแร่ของที่นี่มีคุณสมบัติเป็นด่าง ช่วยบำรุงผิวพรรณ หลังจากแช่อนเซ็นจะรู้สึกได้ทันทีเลยว่าผิวเนียนลื่น และหลังจากแช่น้ำแร่เสร็จแล้วจะมีห้องพักที่ตกแต่งในสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมให้เข้าไปพักผ่อน ให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในภาพยนตร์

นอกจากนี้โดโกะอนเซ็นเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอื่น ๆ อีกมากมายหลายแห่งที่นักท่องเที่ยวจะได้เต็มอิ่มกับธรรมชาติอันงดงาม เช่น ซากปราสาทยุซุกิ สวนสาธารณะโดโกะ (The Ruin of Yuzuki-jo Castle Site / Dogo Koen Park) และจุดถ่ายรูปที่ระลึกอย่าง โซะระโนะซัมโปะมิจิ (Sora no Sanpomichi) เป็นต้น ที่พักก็มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่เรียวกังหรูหราเก่าแก่ไปจนถึงที่พักแบบอบอุ่นสบาย ๆ นอกจากนี้ยังสามารถสวมชุดยูกาตะเดินเล่นในโดโกะอนเซ็นแห่งนี้ได้อีกด้วย

ปราสาทมัตสึยะมะ (Matsuyama Castle) ตั้งอยู่บนเนินเขาคัตสึยะมะ (Mount Katsuyama) สูง 132 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองมัตสึยามะ (Matsuyama) จังหวัดเอะฮิเมะ (Ehime) เป็น 1 ใน 12 ปราสาทดั้งเดิมที่ยังคงอยู่ของประเทศญี่ปุ่น บริเวณรอบปราสาทมีต้นซากุระปลูกกระจายอยู่กว่า 200 ต้น เป็นหนึ่งในสถานที่ชมดอกซากุระยอดนิยมของภูมิภาคชิโกะคุ (Shikoku) ปราสาทสร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1603 แต่เดิมหอปราสาทมีความสูง 5 ชั้น แต่ถูกเพลิงไหม้จนเกิดความเสียหาย และได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ด้วยความสูง 3 ชั้นในปี 1854 จากบนปราสาทมัตสึยะมะ (Matsuyama Castle) สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์รอบเมือง รวมไปถึงทะเลเซโตะใน (Seto Inland Sea) อีกด้วย

ปราสาทมัตสึยะมะ (Matsuyama Castle) เป็น 1 ใน 100 ปราสาทที่สวยงามที่สุดในประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ ปราสาทมัตสึยะมะ (Matsuyama Castle) ยังเป็น 1 ใน 100 สถานที่ชมซากุระยอดนิยมของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย สามารถชมซากุระได้ในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน และสามารถนั่งกระเช้าหรือเก้าอี้ลิฟต์ขึ้นไปยังตัวปราสาทที่ตั้งโดดเด่นอยู่บนเขาได้อย่างสะดวกสบาย สามารถชมทิวทัศน์ของทั้งเมืองในมุมสูงได้

ถนนช้อปปิ้งมัตสึยะมะโรปเวย์ (Matsuyama Ropeway Shopping Street) เป็นย่านช้อปปิ้งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของจังหวัดเอะฮิเมะ (Ehime) ถนนสายนี้ทอดยาวตั้งแต่สถานีมัตสึยะมะซิตี้ (Matsuyama City Station) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเดินทางของเมือง ไปยังทางขึ้นปราสาทมัตสึยะมะ (Matsuyama Castle) เป็นความยาวประมาณ 500 เมตร

ย่านช้อปปิ้งแห่งนี้จะคึกคักไปด้วยผู้คนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว เนื่องจากมีร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ มากมายที่เรียงรายตามถนนทั้งของฝั่ง มีร้านปลอดภาษี ร้านขายของฝาก และยังมี WiFi ให้ใช้บริการฟรี จึงสามารถสนุกสนานไปกับการช้อปปิ้ง หรืออิ่มอร่อยกับอาหารรสเลิศได้อย่างสะดวกสบาย แถมยังไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพอากาศเพราะถนนสายนี้มีหลังคาคลุมอีกด้วย

เนื่องจากจังหวัดเอฮิเมะมีชื่อเสียงในการปลูกส้ม อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดก็คือการชิมน้ำส้มคั้นที่ไหลออกมาจากก๊อกน้ำซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของที่นี่ซึ่งเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากสำหรับนักท่องเที่ยว รวมถึงเมนูขึ้นชื่ออย่างข้าวหน้าปลากะพง หรือไทเมชิ (Tai Meshi)

วัดอิชิเทจิ (Ishite-ji Temple) ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของใจกลางมัตสึยามะ (Matsuyama) จังหวัดเอะฮิเมะ (Ehime) เป็นวัดในนิกายชินงอน ซึ่งเป็น 1 ใน 88 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งเส้นทางแสวงบุญชิโกะคุ (Shikoku) หรือที่ชาวญี่ปุ่นเรียกกันว่า โอะเฮ็นโระ (Ohenro) วัดแห่งนี้ได้รับการสร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 728 ตามพระราชประสงค์ของจักรพรรดิโชมุ (Emperor Shomu) เทพที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดนี้คือ คิชิโมะจิง (Kishimojin) มีผู้คนนิยมมาขอพรให้คลอดบุตรปลอดภัยเป็นจำนวนมาก

ภายในบริเวณวัดประกอบด้วยอาคารหลายอาคาร ซึ่งแต่ละอาคารจะมีทางเชื่อมต่อเข้าไว้ด้วยกัน แล้วยังมีเจดีย์ 3 ชั้น และประตูนิโอมง (Niomon Gate) ที่โดดเด่น ที่ประตูนิโอมงทั้งสองด้าน จะมีรองเท้าฟางขนาดใหญ่ยักษ์อยู่สองข้าง มีความเชื่อว่าผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยที่ขาถ้ามาสัมผัสรองเท้าฟางนี้จะหายจากอาการเจ็บป่วย บริเวณด้านหลังของห้องโถงหลักจะมีถ้ำที่มีทางเดินที่สลับชับซ้อนประมาณ 200 เมตร แบ่งออกเป็น 2 ทางออก ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป และจัดแสดงรูปสลักกับภาพวาด

เมืองอุชิโกะ (Uchiko Town) ตั้งอยู่บริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดเอะฮิเมะ (Ehime) ราวช่วงศตวรรษที่ 18 เมืองอุชิโกะ (Uchiko) เคยเป็นศูนย์กลางของความเจริญรุ่งเรืองของการผลิตขี้ผึ้ง ในปัจจุบันบริเวณนี้ยังมีร้านค้าเก่าแก่ที่ทำขี้ผึ้งขายในสมัยก่อนหลงเหลืออยู่ซึ่งของที่ระลึกที่ไม่ควรพลาดก็คือเทียนแฮนด์เมดซึ่งทำโดยช่างฝีมือในท้องถิ่น

สถานที่ที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ก็คือโรงละครคาบุกิอุชิโกะซะ (Uchiko-za Kabuki Theatre) โรงละครคาบุกิเก่าแก่แห่งนี้ได้รับการสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1916 เป็นโรงละครขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับผู้ชมได้ถึง 650 คน ปัจจุบันยังคงใช้เป็นที่จัดกิจกรรมและการแสดงต่างๆ รวมถึงละครคาบุกิ หรือการแสดงหุ่นเชิดบุนระคุ (Bunraku) และสามารถเข้าชมภายในโรงละคร เพื่อชมสิ่งที่น่าสนใจต่างๆ เช่น ประตูกล หรือทางเดินที่ซ่อนอยู่รอบเวที ซึ่งมีไว้อำนวยความสะดวกในการแสดง

จากย่านอุชิโกะ (Uchiko) มาเพียงประมาณ 1 กิโลเมตร ยังมีย่านเมืองเก่าอีกหนึ่งย่านตั้งอยู่ ซึ่งก็คือย่านเมืองเก่าโยะไคจิ (Yokaichi Old Town) ย่านเมืองเก่าแห่งนี้เรียงรายด้วยบ้านเรือนและอาคารโบราณประมาณ 90 หลังคาเรือน บนถนนที่มีระยะทาง 600 เมตร ในอดีตผู้คนในย่านนี้มีฐานะร่ำรวยมาจากการผลิตขี้ผึ้ง กระดาษ และผ้าไหมดิบ อาคารบ้านเรือนจึงใหญ่โตและสวยงามในสไตล์ของยุคเมจิ

ปัจจุบันที่นี่ยังคงอนุรักษ์สภาพของอาคารบ้านเรือนให้คงไว้เฉกเช่นในอดีต ซึ่งเป็นอาคารสไตล์เมจิ ในย่านนี้จะมีอาคาร 2 หลังที่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ ซึ่งบ้านที่ใหญ่โตและเป็นไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดชมก็คือ บ้านพักคามิฮางะ (Kamihaga Residence) นักท่องเที่ยวสามารถซึมซับและเรียนรู้วัฒนธรรมดั้งเดิมของเมืองนี้ได้อย่างเต็มที่ราวกับย้อนเวลาไปเมื่อ 200 ปีก่อนเลยก็ว่าได้

ถนนโอะฮะนะฮัน (Ohanahan Street) ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าโอซุ (Ozu Old Town) ของจังหวัดเอะฮิเมะ (Ehime) ชื่อของถนนสายนี้มีที่มาจากที่เคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำซีรี่ย์ตอนเช้าของช่อง NHK เรื่อง “โอะฮะนะฮัน (Ohanahan)”

ถนนสายนี้อบอวบไปด้วยกลิ่นอายและบรรยากาศสมัยโบราณ อาคารบ้านเรือนต่าง ๆ ตลอดจนบ้านพักของซามูไรในสมัยเอโดะ (Edo) ซึ่งตั้งอยู่ในละแวกนี้ได้รับการอนุรักษ์ไว้อยู่ในสภาพที่ดี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศย้อนยุคของญี่ปุ่นที่แม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็ยังหาชมได้ยากแล้วในปัจจุบัน

บริเวณทางเดินของถนนสายนี้ที่ปูด้วยหินจะมีคลองเล็ก ๆ อยู่บริเวณขอบถนน ในคลองเล็กนี้ยังมีปลาคาร์ฟหลากสีกำลังแหวกว่ายไปมาอวดความสวยงามให้ผู้มาเยือนได้เพลิดเพลินกันอีกด้วย

การิวซังโซ วิลล่า (Garyu-Sanso Villa) เป็นคฤหาสน์เก่าแก่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำฮิจิคาวะ (Hijikawa River) ทางทิศตะวันออกของย่านเมืองเก่าโอซุ (Ozu Old Town) คฤหาสน์หลังนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1907 โดยใช้วีธีการดั้งเดิมในการก่อสร้างอย่างพิถีพิถัน ใช้ช่างฝีมือมากถึง 9,000 คนในการก่อสร้าง รวมเวลาในการก่อสร้างนานถึง 10 ปี การออกแบบคฤหาสน์หลังนี้ได้รับอิทธิพลมาจากวิลล่าของจักรพรรดิที่มีชื่อเสียงในเกียวโต

ตัวอาคารหลักเป็นอาคารไม้ขนาดใหญ่ หลังคามุงจาก แต่ภายในตกแต่งไว้อย่างหรูหรา มีสวนญี่ปุ่นสวยงาม ซึ่งเคยได้รับรางวัล 1 ดาว มิชลิน กรีน ไกด์ ในปี ค.ศ. 2011 อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีทางเดินจากสวนไปที่ศาลาที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำฮิจิคาวะ (Hijikawa River) เป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงามเป็นอย่างมาก

ถ้ามาเยือนที่นี่ต้องไม่พลาดการลิ้มรสชาเขียวมัทฉะ และทานขนมหวานญี่ปุ่นดั้งเดิมในช่วงสุดสัปดาห์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ในช่วงเดือนเมษายนจนถึงตุลาคม

อุทยานชิโกะคุคาสต์ (Shikoku Karst) เป็นที่ราบสูงซึ่งมีความสูงถึง 1,485 เมตร จากระดับน้ำทะเล ครอบคลุมพื้นที่บริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดเอะฮิเมะ (Ehime) และจังหวัดโคชิ (Kochi) เป็น 1 ใน 3 คาสต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น มีศูนย์กลางอยู่บริเวณที่ราบสูงเทงงู (Tengu Plateau) ท้องทุ่งที่สูงถึง 1,000 – 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล โดดเด่นด้วยลักษณะเด่นของภูมิประเทศแบบคาสต์ (Karst) นั้นจะเต็มไปด้วยหินปูนที่ถูกน้ำกัดกร่อนจนเหลือเป็นก้อนหินปูนรูปร่างแปลกตากระจายอยู่ทั่วบริเวณ

อุทยานชิโกะคุคาสต์ (Shikoku Karst) เป็นหนึ่งในทิวทัศน์ที่น่าทึ่งและเป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยม ผู้มาเยือนจะได้ตื่นตาตื่นใจกับภาพของทุ่งหญ้าเขียวขจีที่กว้างไกลสุดสายตาและท้องฟ้าสีครามซึ่งอยู่ใกล้จนแทบจะเอื้อมมือสัมผัสก้อนเมฆได้ เหมาะกับขับรถชมวิวและถ่ายภาพเป็นอย่างมาก บริเวณนี้ยังมีชื่อเสียงในฐานะทุ่งเลี้ยงโคนม จึงอาจจะได้พบกับฝูงโคจำนวนมากอยู่ในบริเวณนี้ด้วย

นักท่องเที่ยวสามารถชมมาความงามและเสน่ห์ทางธรรมชาติของแต่ละฤดูกาล ซึ่งแตกต่างกันไปได้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ในตอนกลางคืนก็ยังสามารถชมท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว หรือถ่ายภาพทางช้างเผือกได้จากบริเวณที่ราบสูงแห่งนี้

แม่น้ำชิมันโตะ (Shimanto River) ทางฝั่งตะวันตกของจังหวัดโคชิ (Kochi) เป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคชิโกะคุ (Shikoku) มีความยาวรวมถึง 196 กิโลเมตร แม่น้ำแห่งนี้ใสสะอาดราวกับกระจกและอุดมสมบูรณ์ด้วยสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มากมาย เสน่ห์ของแม่น้ำสายนี้คือ วิถีชีวิตของผู้คนกับวัฒนธรรมที่หลอมรวมเข้าไปอยู่ในทัศนียภาพของแม่น้ำที่งดงามและยิ่งใหญ่ บริเวณริมแม่น้ำยังคงหลงเหลือหมู่บ้านเกษตรรวมถึงไร่ชาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกจากแม่น้ำอีกด้วย

นอกจากนี้ที่นี่ยังมีสะพานแบบที่เรียกว่า สะพานจิงคะ (Chinka Bridge) ซึ่งเป็นสะพานแบบไม่มีราวกันตกอยู่หลายแห่ง สร้างขึ้นมาโดยคำนึงถึงการจมเมื่อน้ำหลาก เพื่อไม่ให้ท่อนไม้ที่ลอยตามน้ำกระแทกโดนสะพาน เป็นโครงสร้างที่ทำให้เกิดน้ำท่วมยากขึ้นในขณะเดียวกันก็ป้องกันตัวสะพานไม่ให้เสียหายจากกระแสน้ำ สะพานแห่งนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของวิถีการดำรงอยู่ของผู้คนที่ใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติ

ฤดูกาลที่ดีที่สุดในการมาเยี่ยมชมที่นี่คือช่วงฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงช่วงฤดูร้อน ตั้งแต่กลางเดือนเมษายนจนถึงกลางเดือนพฤษภาคมจะมีการประดับธงปลาคาร์ฟข้ามแม่น้ำ ส่วนต้นฤดูร้อนตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม บริเวณรอบๆ แม่น้ำจะมีกิจกรรมทางน้ำมากมายให้สัมผัส เช่น พายเรือแคนู ล่องแก่ง ปั่นจักรยาน หรือล่องเรือยาคาตะบุเนะ (Yakatabune) ชมแม่น้ำ นอกจากนี้ยังมีทัวร์ล่องเรือชมหิ่งห้อยจำนวนมากที่บินเหนือแม่น้ำด้วย

แหลมอะชิซุริ (Cape Ashizuri) เป็นผาหินที่สูงชันราว 80 เมตรติดริมทะเล ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของเกาะชิโกะคุ (Shikoku) ในจังหวัดโคชิ (Kochi) บริเวณโดยรอบอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชกึ่งเขตร้อน และดอกคามิเลียจำนวนมาก และมีประภาคารแหลมอะชิซุริ (Cape Ashizuri Lighthouse Observatory) สีขาวขนาดใหญ่ ตั้งโดดเด่นเป็นสัญลักษณ์อยู่บนหน้าผา โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ของแหลมอะชิซุริ (Cape Ashizuri) และมหาสมุทรแปซิฟิกได้แบบ 270 องศา มีกิจกรรมที่น่าสนใจ และได้รับความนิยม ได้แก่ ตกปลา ดำน้ำดูปะการัง ล่องเรือชมหมู่ปลา และเล่นกระดานโต้คลื่น เป็นต้น

บริเวณใกล้เคียงยังเป็นที่ตั้งของฮะคุซันโดมง (Hakusan Domon) เป็นเหมือนอุโมงค์หน้าผาที่ถูกน้ำกัดเซาะจนเกิดเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ สามารถมองเห็นวิวทะลุไปอีกด้านหนึ่ง ทัศนียภาพของรูหินแห่งนี้นับเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่ดึงดูดความสนใจจากช่างภาพ และนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อย นอกจากนี้ยังสามารถเที่ยวอะชิซุริ อนเซ็น (Ashizuri Onsen) หรือเดินชมธรรมชาติที่เส้นทางธรรมชาติได้อีกด้วย

วัดคงโกฟุคุจิ (Kongofukuji Temple) ตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวแหลมอะชิซุริ (Cape Ashizuri) จังหวัดโคชิ (Kochi) ก่อตั้งโดยนักบวชโคโบไดชิ (Kobodaishi) ใน ค.ศ. 823 ตามคำสั่งของจักรพรรดิซากะ โดยมีพระประธานศักดิ์สิทธิ์ประจำพระวิหารของวัดแห่งนี้คือ พระโพธิสัตว์คันนอน หรือเจ้าแม่กวนอิมปาง 3 พักต์พันกร ตั้งประดิษฐานอยู่ด้าน เพื่อเป็นที่สักการะบูชา ด้านในวัดยังมีสถาปัตกรรมโบราณมากมาย ได้แก่ เจดีย์ทาโฮโต (Tahoto Pagoda) ที่เป็นเจดีย์ 2 ชั้น และ เจดีย์หิน 13 ชั้น

วัดแห่งนี้เป็นวัดลำดับที่ 38 ของการออกเดินทางจารึกแสวงบุญ 88 วัดของเกาะชิโกะคุ (Shikoku) อันโด่งดัง หรือที่เรียกว่า โอะเฮ็นโระ (Ohenro) ตั้งอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากวัดลำดับที่ 37 ราว 90 กิโลเมตร ซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินเท้าทั้งหมดถึง 3 วันเลยทีเดียว หากมาเยือน และสักการะที่วัดแห่งนี้แล้ว ห้ามพลาดชมทิวทัศน์ของท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลที่อยู่ตรงหน้า

เครื่องแต่งกายดั้งเดิมที่มีมาแต่โบราณสำหรับการแสวงบุญ ได้แก่

• ฮะคุเอะ (hakue) คือ เสื้อคลุมสีขาว
• สึเงะงาซะ (Suge-gasa) คือ หมวกสานทรงแหลม
• ไม้เท้าคงโกอุ (kongou-zue) คือ ไม้เท้า

พิพิธภัณฑ์ของสะสมไคโยโด ชิมันโตะ (Kaiyodo Hobby Museum Shimanto) เป็นพิพิธภัณฑ์ของเล่นที่ชวนนักท่องเที่ยวผู้มาเยือนกลับสู่วัยเด็กอีกครั้ง ตั้งอยู่ในเมืองชิมันโตะ (Shimanto) จังหวัดโคชิ (Kochi) โดยนำโรงยิมของโรงเรียนประถมที่ปิดตัวลง มาบูรณะใหม่ ให้กลายเป็นแหล่งรวมของเล่น ของสะสมประเภทหุ่นฟิกเกอร์ของบริษัทไคโยโด (Kaiyodo Co., Ltd.) ที่เป็นผู้ผลิตโมเดลรูปแบบต่าง ๆ ระดับโลก

ด้านในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงประวัติศาสตร์ของบริษัทไคโยโด ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และมีโมเดลพลาสติกขนาดใหญ่ กาชาปอง หุ่นฟิกเกอร์ตัวละครจากการ์ตูนอนิเมะ และภาพยนต์เรื่องต่าง ๆ รวมแล้วกว่า 10,000 ชิ้นด้วยกัน เรียกได้ว่านอกจากจะเพลิดเพลินแล้ว ไม่ว่าจะเด็ก หรือผู้ใหญ่ยังได้สัมผัสกับความทรงจำเก่า ๆ ผ่านเรื่องราวของตัวการ์ตูนอีกด้วย

พิพิธภัณฑ์ไคโยโดคัปปะ (Kaiyodo Kappa Museum) ตั้งอยู่ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์ของสะสมไคโยโด ชิมันโตะ (Kaiyodo Hobby Museum Shimanto) ในจังหวัดโคชิ (Kochi) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่อุทิศการจัดแสดงให้แก่คัปปะ (Kappa) ที่เป็นปีศาจแห่งหนองน้ำ (พรายน้ำ) ในตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่น มีลักษณะคล้ายสัตว์สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ผิวหนังสีเขียว ที่หลังมีกระดองเต่า จมูกแหลม ศีรษะแบน และกลางกระหม่อมไม่มีเส้นผม

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ สร้างขึ้นโดยบริษัทไคโยโด (Kaiyodo Co., Ltd.) ที่เป็นบริษัทชั้นนำด้านผู้ผลิตหุ่นฟิกเกอร์ระดับโลก ตัวอาคารสร้างขึ้นเป็นแบบกระท่อมไม้ รายล้อมไปด้วยป่าเขียวชอุ่ม ติดริมแม่น้ำอุซุย (Utsui River) ทำให้ตัวพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ดูกลมกลืนไปกับธรรมชาติรอบด้าน เหมาะสำหรับเป็นบ้านของคัปปะ (Kappa) อย่างมาก

ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงรูปปั้นคัปปะ (Kappa) อยู่ราว ๆ 1,300 ตัว ตั้งแต่รูปปั้นคัปปะซามูไรไปจนถึงรูปปั้นคัปปะที่ชวนขนหัวลุก นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเวิร์คช็อป คลาสงานศิลป์อื่นๆ ที่น่าสนใจเช่น งานระบายสี งานทำเทียน รวมถึงมีร้านอาหารคัปปะเทอิ (Kappa Tei) ที่จำหน่ายข้าวแกงกระหรี่รูปคัปปะ ให้นักท่องเที่ยวได้ลิ้มลองความอร่อย และความน่ารักไปพร้อม ๆ กัน

ตลาดคุเระไทโชมะจิ (Kure Taishomachi Market) เป็นตลาดท้องถิ่นของผู้คนเมืองนะคะโทสะ (Nakatosa) จังหวัดโคชิ (Kochi) ที่มีอายุกว่า 100 ปี ได้ชื่อว่าเป็นครัวของจังหวัดโคชิ โดยจุดเริ่มต้นของตลาดแห่งนี้คือบรรดาภรรยาของชาวประมง เริ่มนำปลาที่จับได้สด ๆ ในแต่ละวันมาวางขายบนแผงลอยเล็ก ๆ เต็มสองข้างทาง และต่อมาได้ขยับขยายสินค้าเพิ่มขึ้น ครบทั้งอาหารสด อาหารแห้ง ผักผลไม้ ทำให้ตลาดแห่งนี้ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแสนครึกครื้นยอดนิยมภายในเวลาเพียงไม่นาน

ในอดีตเมื่อปี ค.ศ. 1915 ตลาดแห่งนี้เคยถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ และมีบ้านเรือนเสียหายไม่น้อยกว่า 230 หลัง จักรพรรดิไทโชจึงมอบเงินเยียวยาให้ 350 เยน เพื่อเป็นค่าซ่อมแซม และสร้างตลาดให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง และเพื่อเป็นความซาบซึ่งในความกรุณาของจักรพรรดิ ชาวเมืองแห่งนี้จึงเปลี่ยนชื่อตลาดจากจิโสะโดริ (Jizo dori) เป็นตลาดไทโชมะจิ (Taishomachi) นับตั้งแต่นั้นมา

เมนูที่ไม่ควรพลาด เมื่อไปเยือนที่ตลาดแห่งนี้แล้วก็คือ คัทสึโอะ ทะทะคิ (Katsuo Tataki) หรือเรียกว่าปลาคัทสึโอะรมควัน โดยจะนำปลาคัทสึโอะดิบ มาย่างด้วยฟางเพื่อให้เฉพาะผิวด้านนอกหอมกลิ่นไหม้ แต่ด้านในยังคงเนื้อชุ่มฉ่ำ มักทานคู่กับต้นหอมซอย และขิงฝน จิ้มกับซอสพอนสึรสเปรี้ยว และอีกหนึ่งเมนูก็คือโทโคโระเต็น (Tokoroten) วุ้นใสลักษณะเป็นเส้นยาว ๆ ทำจากสาหร่ายทะเลชนิดหนึ่ง ทานคู่กับโชยุ หรือน้ำส้มสายชู

ปราสาทโคชิ (Kochi Castle) เป็นปราสาทอันเก่าแก่ที่กลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของจังหวัดโคชิ (Kochi) ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคเอโดะ เมื่อปี ค.ศ. 1601 – 1611 เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครอง และเคยเป็นที่อาศัยของขุนนางตระกูลยามาอุจิ (Yamauchi) ที่ปกครองพื้นที่รอบภูมิภาคนี้

ปราสาทโคชิ (Kochi Castle) นับเป็น 1 ใน 12 ปราสาทไม้หลังเดิมของประเทศญี่ปุ่นที่รอดจากสงคราม และภัยพิบัติต่างๆ จึงถูกยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ภายในตกแต่งด้วยไม้ และยังคงสถาปัตยกรรมเก่าแก่สมัยเอโดะเอาไว้ ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ให้คนทั่วไปเข้าชมสถาปัตยกรรมสมัยก่อน และยังสามารถชมทัศนียภาพของเมืองโคชิ (Kochi Town) ได้แบบพาโนรามาจากด้านบนสุดของปราสาทอีกด้วย บริเวณรอบปราสาทเป็นสวนสาธารณะโคชิ (Kochi Park) ที่ชาวเมืองนิยมเดินทางมาพักผ่อนหย่อนใจ บรรยากาศธรรมชาติจะเปลี่ยนแปลงไปตาม 4 ฤดูกาล โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิ ต้นซากุระจะออกดอกสีชมพูผลิบานตัดกับกำแพงสีขาวของปราสาท เป็นภาพที่สวยงามจนกลายเป็นอีกหนึ่งจุดชมซากุระยอดนิยมในจังหวัดโคชิ (Kochi)

นอกจากนี้ทุก ๆ วันอาทิตย์จะมีการจัดตลาดวันอาทิตย์ (Sunday Market) ครึกครื้นไปด้วยพ่อค้าแม่ค้ามากมาย เปิดแผงขายผักผลไม้ ปลาสดกันตั้งแต่เวลาตี 5 รวมถึงยังมีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ปราสาทโคจิ (Kochi Castle Museum of History) เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมการจัดแสดงวัตถุโบราณ และข้อมูลประวัติศาสตร์ ที่บริเวณใกล้ ๆ ปราสาทโคชิ (Kochi Castle)

ตลาดฮิโรเมะ (Hirome Market) เป็นตลาดเก่าแก่ที่เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998 ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองโคชิ (Kochi City) เต็มไปด้วยร้านค้า และร้านอาหารอร่อย ๆ มากมายกว่า 65 ร้าน ที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น อัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายบรรยากาศท้องถิ่นของเมืองโคจิ ทั้งร้านอาหารแบบแผง ขายตั้งแต่อาหารทะเลสด ๆ ผักผลไม้ ไปจนถึงสินค้าเบ็ดเตล็ด ร้านเสื้อผ้าสไตล์ตะวันตก และร้านอื่น ๆ ที่มีเอกลักษณ์อีกหลากหลาย โดยเฉพาะอาหารท้องถิ่น อย่างปลาคัทสึโอะทะทะคิ (Katsuo Tataki) ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างเดินทางมาลิ้มลองความอร่อย และนอกจากนี้ยังมีขนมท้องถิ่น และอาหารทะเลแปรรูปมากมายที่สามารถซื้อไปเป็นของฝากได้อีกด้วย

ภายในบริเวณจะมีพื้นที่ส่วนกลาง ที่ลูกค้าสามารถสั่งอาหารจากร้านต่าง ๆ มานั่งกินที่โต๊ะส่วนกลางได้ ให้บรรยากาศที่ครึกครื้นเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีมุมบาร์ที่เรียกว่า “ฮิโรเมะบาร์ (Hirome Bar)” ซึ่งให้บริการอาหารอิตาเลียน สเปน ฝรั่งเศส พร้อมกับเครื่องดื่มนานาชนิดครบครันพร้อมเสิร์ฟ

สวนพฤกษศาสตร์มาคิโนะ จังหวัดโคชิ (Kochi Prefectural Makino Botanical Garden) เปิดทำการครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1958 เพื่อยกย่องความสำเร็จอันของโทะมิทาโร่ มาคิโนะ (Tomitaro Makino) นักพฤกษศาสตร์ชาวโคชิ (Kochi) คนแรกของญี่ปุ่น ภายในสวนพฤกษศาสต์แห่งนี้มีพันธุ์ไม้กว่า 3,000 ชนิด ออกดอกผลิบาน และผลัดใบให้ได้ชมตลอดทั้งปี

บนพื้นที่กว่า 8 เฮกเตอร์นี้ จะแบ่งออกเป็นโซนแตกต่างกันออกไป เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาพันธุ์ไม้อย่างเข้าใจมากขึ้น โดยจะมีทั้งโซนเรือนกระจกขนาดใหญ่ โซนฮอล์สำหรับจัดแสดงงานต่าง ๆ (Makino Museum of Plants & People Exhibition Hall) และโซนสวนด้านนอกที่แยกออกเป็นสัดส่วนตาม ได้แก่ สวนครอบรอบ 50 ปี (50th Anniversary Garden) ที่สามารถชมซากุระได้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง โซนสนามหญ้า (Coptis Lawn) ลานกว้างที่มักจะเต็มไปด้วยผู้คนมานั่งปิกนิกในวันที่อากาศดี โซนสวนกล้วยไม้ (Tosa Kanran Center) โซนสวนกุหลาบและดอกพุทธรักษา (Canna and Rose Garden) และอีกมากมาย

นอกจากนี้ยังเมนูอาหาร และเครื่องดื่มให้บริการที่ร้านอาหาร และคาเฟ่ภายในสวน ให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินไปกับความอร่อยท่ามกลางต้นไม้ใหญ่เขียวครึ้มร่มเย็น

วัดชิคุรินจิ (Chikurinji Temple) ตั้งอยู่บนเนินเขาโกได (Mt. Godai) ภายในเมืองโคชิ (Kochi City) เดิมทีถูกสร้างขึ้นโดยพระสงฆ์เกียวคิ (Gyoki) เมื่อปี ค.ศ. 724 ตามพระประสงค์ของจักรพรรดิโชมุ ที่ต้องการให้วัดแห่งนี้คล้ายคลึงกับวัดที่มีชื่อเสียงของประเทศจีน หลังจากที่วัดได้ถูกทิ้งร้าง และเสื่อมโทรม พระคูไคได้เข้ามาบูรณะ และทำให้วัดแห่งนี้เป็นวัดลำดับที่ 31 ของเส้นทางจาริกแสวงบุญ 88 วัดของเกาะชิโกะคุ (Shikoku) หรือที่เรียกว่า โอะเฮ็นโระ (Ohenro)

ภายในวัดมีสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนาที่สำคัญมากมาย เช่น เจดีย์ 5 ชั้น (Gojyunotou) อุโบสถหลัก (Hondo) หอพระธรรม (Shoin), พระพุทธรูปอันล้ำค่า จำนวน 12 องค์ ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อกว่า 1,000 ปีก่อน และสวนแบบญี่ปุ่น (Meisho Garden) บรรยากาศรอบด้าน รายล้อมด้วยธรรมชาติที่เงียบสงบ ท่ามกลางความเขียวขจีที่อุดมสมบูรณ์ของใบไม้ และมอส ในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีวัดแห่งนี้จะถูกแต่งแต้มไปด้วยสีส้มแดงของต้นไม้ใหญ่สวยงาม กลายเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงอีกแห่งของจังหวัดโคชิ (Kochi) ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาชม