อิ่มเอมใจกับธรรมชาติ และมิตรไมตรีที่โทโฮคุ

sdr
การยิ้มต้อนรับที่อบอุ่นในหมู่บ้านโออุจิจูคุ (Ouchijuku)
MAY21_Nature_05
กิจกรรมเก็บต้นข้าวกับเจ้าของบ้านที่พักฟาร์มสเตย์

ภูมิภาคโทโฮคุ เป็น ภูมิภาคที่อยู่ทางเหนือของเกาะฮอนชู (Honshu) ประกอบด้วย 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอาโอโมริ (Aomori), จังหวัดอาคิตะ (Akita), จังหวัดอิวาเตะ (Iwate), จังหวัดมิยากิ (Miyagi), จังหวัดยามากาตะ (Yamagata) และจังหวัดฟุกุชิมะ (Fukushima) เป็นภูมิภาคที่ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ทั้งเทือกเขา อนเซ็น ซากุระ ใบไม้เปลี่ยนสี รวมถึงสถานที่ที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นแหล่งมรดกโลกอย่าง มรดกโลกมรดกทางวัฒนธรรมที่ฮิราอิซุมิ (Hiraizumi) หรือจะเป็น เทือกเขาชิระคะมิ (Shirakami) ที่มีความอุดมสมบูรณ์จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ เป็นต้น

นอกจากจะได้ไปสัมผัสธรรมชาติอันสวยงามแล้ว ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เข้าร่วมงานเทศกาล และสามารถสัมผัสความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างแท้จริง ได้เรียนรู้วิถีชีวิตชุมชนที่เป็นเอกลักษณ์ ได้สัมผัสรอยยิ้ม และการต้อนรับที่แสนอบอุ่นจากการเข้าพักโฮมเสตย์ หรือกิจกรรมเวิร์คช้อป (Workshop) ต่าง ๆ

ร่วมสนุกกับงานเทศกาลอาโอโมริ เนบุตะ (Aomori Nebuta Festival), อาโอโมริ (Aomori)

Aomori, Japan - AUG 6 2018 : Aomori cityscape during Nebuta Matsuri. Nebuta Matsuri is a Japanese summer festival that takes place in Aomori Prefecture, Japan

โคมไฟเนบุตะขนาดยักษ์

MAY21_Nature_04

ระบำฮะเนโตะ (Haneto Dance)

เทศกาลอาโอโมริ เนบุตะ (Aomori Nebuta Festival) จัดขึ้นในใจกลางเมืองของจังหวัดอาโอโมริ (Aomori) เป็นเทศกาลฤดูร้อนที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศญี่ปุ่น จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 2 – 7 สิงหาคมของทุกปี โดยจะมีกิจกรรมเดินแห่ขบวนโคมเนบุตะยักษ์ (Nebuta Lantern) ในยามค่ำคืน และการเต้นระบำฮะเนโตะ (Haneto Dance) ซึ่งเป็นสองกิจกรรมที่เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต้องการมาสัมผัสกับบรรยากาศที่สนุกสนาน และยิ่งใหญ่ของจังหวัดอาโอโมริ (Aomori)

ประวัติของการจัดงานเทศกาลอาโอโมริ เนบุตะ (Aomori Nebuta Festival) มีที่มาไม่แน่ชัด แต่เชื่อกันว่ามีที่มาจากเทศกาลทานาบาตะที่มีต้นกำเนิดจากประเทศจีน ผนวกเข้ากับวัฒนธรรมพื้นบ้านดั้งเดิมในพื้นที่ ซึ่งมีมาหลายชั่วอายุคน โดยการลอยโคมในคืนวันทานาบาตะเพื่อขอให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ มีการริเริ่มจากการทำโคมไฟจากกระดาษ เทียน ไม้ไผ่ และมีการพัฒนาเรื่อยมาจนเป็นโคมไฟขนาดใหญ่เหมือนทุกวันนี้

โคมเนบุตะ (Nebuta Lantern) คือ รถลากโคมไฟ โดยจะมีการออกแบบมาจากตัวละครคาบุกิหรือเรื่องราวตำนานเทพญี่ปุ่นต่าง ๆ โดยมีขนาดใหญ่ กว้าง 9 เมตร ลึก 7 เมตร และสูงถึง 5 เมตร มีน้ำหนักประมาณเกือบ 4 ตัน และจะมีการออกแบบในแต่ละปีที่แตกต่างกันออกไปตามประสงค์ขององค์กรธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ ในการร่วมจัดสร้าง

กิจกรรมช่วงเวลาจัดงานอาโอโมริ เนบุตะ (Aomori Nebuta Festival)

  • วันที่ 2 – 3 สิงหาคม
    ในช่วงค่ำจะเป็นขบวนแห่ “โคโดโมะเนบุตะ” รถลากโคมไฟขนาดเล็กลากโดยเด็ก ๆ และ “โอกาตะเนบุตะ” รถลากโคมไฟขนาดใหญ่ลากโดยผู้ใหญ่ อย่างละ 15 คัน รวมทั้งหมดเป็น 30 คัน
  • วันที่ 4 – 6 สิงหาคม
    ในช่วงค่ำจะมีการกิจกรรมเต้นระบำพร้อมเดินขบวนแห่ “โอกาตะเนบุตะ” รถลากโคมไฟขนาดใหญ่ มีประมาณ 20 คัน ซึ่งเป็นช่วงเวลา 3 วันที่เทศกาลครึกครื้นที่สุด
  • วันที่ 7 สิงหาคม
    ในช่วงบ่ายจะมีการจัดขบวนแห่ “โอกาตะเนบุตะ” รถลากโคมไฟขนาดใหญ่ และจัดขบวนแห่โคมเนบุตะด้วยเรือในช่วงค่ำ จบด้วยการแสดงดอกไม้ไฟที่สวยงามยาวนานต่อเนื่องถึง 2 ชั่วโมง พร้อม ๆ กับการแห่โคมบนเรือวนไปรอบ ๆ ท่าเรือ

สิ่งที่สามารถเข้าร่วมเพื่อประสบการณ์และสนุกไปกับงานเทศกาลอาโอโมริ เนบุตะ (Aomori Nebuta Festival)

  1. เข้าร่วมเป็นฮะเนโตะและเต้นรำไปด้วยกัน
    ในระหว่างการเดินขบวนแห่ จะมีการแสดงของวงดนตรีฮายาชิคาตะ (Hayashikata) ที่จะคอยบรรเลงเสริมสร้างความสนุกสนานของขบวนแห่ ไปพร้อม ๆ กับการเต้นระบำฮะเนโตะ (Haneto Dance) ที่นักท่องเที่ยวสามารถร่วมเต้นรำได้แค่เพียงเช่าชุดฮะเนโตะก็สามารถเข้าไปร่วมสนุกได้ในทันที โดยจะมีค่าเช่ายืมชุดประมาณ 4,000 เยน สามารถติดต่อร้านเช่าชุดได้ตามร้านบริเวณโดยรอบของงาน
  2. ร่วมเอาใจช่วยขบวนแห่ กับ การประกวดโคมเนบุตะ
    นักท่องเที่ยวสามารถสามารถร่วมเอาใจช่วยขบวนแห่ กับ การประกวดโคมเนบุตะ โดยคณะกรรมการจะพิจารณาส่วนประกอบต่าง ๆ เช่น โคมไฟเนบุตะ ขบวนพัด การจัดขบวนแห่ และฮะเนโตะเพื่อพิจารณาให้รางวัลเนบุตะจากเกณฑ์ความสวยงามของตัวโคมไฟ การจัดลำดับขบวน ความครึกครื้นและ สามัคคีของทีมฮะเนโตะ รวมถึงจังหวะดนตรี ซึ่งจะมีการประกาศผลรางวัลจะจัดขึ้นในวันที่ 6
  3. สามารถเลือกซื้อของฝากที่ได้แรงบันดาลใจจากเนบุตะได้หลากหลายอย่าง
    ของฝากที่สามารถเลือกซื้อได้ตั้งแต่ของพื้นฐานอย่างเสื้อยืดและผ้าเทนุคุย (ผ้าอเนกประสงค์ทรงยาว) แผ่นมาสก์หน้าเนบุตะ เสื้อผ้า ของใช้ต่าง ๆ หรือจะเป็นผ้าขนหนู ไปจนถึงงานดีไซน์เก๋ไก๋ แต่ละชิ้นนำลวดลายจากโคมไฟเนบุตะที่ดูดุดันมาปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับการใช้งานรูปแบบต่าง ๆ ดังนั้นนักท่องเที่ยวสามารถสนุกกับการเลือกของฝากที่เป็นที่ระลึกจากงานได้เลย
  4. การรับชมงานเทศกาลแบบใกล้ชิดในที่นั่งพิเศษ
    หากต้องการนั่งชมจากที่นั่งพิเศษ สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อทำการจองที่นั่งล่วงหน้าได้โดยจะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 2,600 เยน แต่ถ้าต้องการร่วมงานปกติ จะไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ

สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงที่ห้ามพลาด

● พิพิธภัณฑ์เนบุตะ (Nebuta Warasse)

พิพิธภัณฑ์ที่นำเสนอเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเทศกาลเนบุตะ รวมไปถึงเทคนิคการสร้างโคมเนบุตะด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังสามารถสัมผัสกับประสบการการแบกเกี้ยว ไปจนถึงการแสดงจำลองบรรยากาศของเทศกาลให้ชมอีกด้วย
・ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ 620 เยน / เด็ก (มัธยมปลาย) 460 เยน / เด็ก (มัธยมต้นลงไป) 260 เยน
http://www.nebuta.jp/warasse/foreign/english.html (ภาษาอังกฤษ)
https://www.en-aomori.com/activities-057.html (ภาษาอังกฤษ)

● โบราณสถานซันไน มะรุยะมะ (Sannai-Maruyama Site)

พื้นที่แห่งนี้มีมาตั้งแต่ยุคสมัยโจมง (Jomon period) (ประมาณ 14,000 – 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช) มีการขุดพบที่อยู่อาศัยแบบหลุม อาคารที่มีเสาค้ำยันเนินดิน หลุมฝังศพ และไหจำนวนมากพร้อมกับเครื่องปั้นดินเผาและอุปกรณ์หินที่เป็นตัวเลข วัตถุไม้มีค่า และวัตถุที่ทำจากกระดูกและเขากวาง มีกิจกรรม และงานจัดแสดงหลากหลายให้ได้เข้าชม เริ่มจากทัวร์ชมสถานที่โดยไกด์ท้องถิ่นคอยแนะนำ (ฟรี) โรงละครโจมง (Jomon Theater) ห้องชมภาพยนต์สารคดีประวัติความเป็นมาของ โบราณสถานซันไน มะรุยะมะ (Sannai-Maruyama Site) พิพิธภัณฑ์ซันมะรุ (Sanmaru Museum) พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงโบราณวัตถุกว่า 1,700 ชิ้น รวมถึงสมบัติทางวัฒนธรรมมากถึง 500 ชิ้นที่ค้นพบในบริเวณโบราณสถานซันไน มะรุยะมะ (Sannai-Maruyama Site) และอื่น ๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้ให้ได้ศึกษาเพิ่มเติม เวิร์คชอป (Workshop) กิจกรรมที่ให้ผู้เข้าร่วมได้ทดลองทำเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ในยุคโจมง (Jomon period)
・ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ 410 เยน / นักเรียน 200 เยน นักเรียน (ต่ำกว่ามัธยมปลาย) ไม่มีค่าใช้จ่าย
* ค่าเข้าพื้นหรือกิจกรรมอื่น ๆ จะคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
https://sannaimaruyama.pref.aomori.jp/english/ (ภาษาอังกฤษ)

สำหรับเมนูที่ควรลิ้มลอง

เมนูแนะนำก็คือ ไคเซนด้ง (Kaisen-don) หรือข้าวหน้ารวมอาหารทะเล ที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบชั้นเลิศจากท้องทะเลที่สดใหม่โปะข้าวจนล้นถ้วย เป็นที่ชื่นชอบของทุกคนที่รักปลาดิบโดยเฉพาะการมาลิ้มลองไคเซ็นด้งที่ตลาดปลาฟุรุคาวะ (Furukawa Fish Market) เพราะสามารถรังสรรค์ข้าวหน้าอาหารทะเลได้ด้วยตนเองหรือนกเกะด้ง (Nokkedon) โดยการซื้อคูปองสำหรับนำไปแลกข้าวและอาหารทะเลต่าง ๆ ภายในตลาด โดยจะมีทั้งแบบชุด 5 ใบ ราคา 540 เยน และชุด 10 ใบ ราคา 1,080 เยน สามารถนำใช้ในการสร้างสรรค์เมนูข้าวหน้าอาหารทะเลของเราได้ตามที่ชอบ

รายละเอียดสถานที่เพิ่มเติม

ที่อยู่ Aomori City Hall
1 Chome-22-5 Central, Aomori 030-8555
แผนที่
การเดินทาง จากสถานี Tokyo โดยสารรถไฟ Tohoku Shinkansen ไปลงที่สถานี Shin-Aomori ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 20 นาที จากนั้นโดยสารรถไฟ Ou Line ลงสถานี Aomori ใช้เวลา 6 นาที แล้วเดินอีก 23 นาที
เวลาทำการ
ขบวนแห่คมเนบุตะเด็กและโคมเนบุตะขนาดใหญ่
09:10 น. – 21:00 น. (2 – 3 สิงหาคม)
ขบวนแห่โคมเนบุตะขนาดใหญ่
09:10 น. – 21:00 น. (4 – 6 สิงหาคม)
ขบวนแห่โคมเนบุตะขนาดใหญ่
13:00 น. – 15:00 น. (7 สิงหาคม)
ขบวนแห่โคมเนบุตะบนทะเล และเทศกาลดอกไม้ไฟ
19:15 น. – 21:00 น. (7 สิงหาคม)
ระยะเวลาทำการ 2 – 7 สิงหาคมของทุกปี
ค่าใช้จ่าย ไม่มีค่าใช้จ่าย (สำหรับค่าจองที่นั่งพิเศษ เริ่มต้น 2,600 เยน)
ค่าเช่าชุดฮะเนะโตะ 4,000 เยน (โดยประมาณ)
เว็บไซต์ (ภาษาญี่ปุ่น) http://www.nebuta.jp/
https://omatsurijapan.com/blog/nebuta01/
https://gurutabi.gnavi.co.jp/a/a_2565/
เว็บไซต์ (ภาษาอังกฤษ) http://www.nebuta.jp/foreign/english.html
https://www.en-aomori.com/aomoristory/nebuta.html
https://www.tohokukanko.jp/en/attractions/detail_10046.html
เว็บไซต์ (ภาษาไทย) https://www.aomori-travel.com/th/2951/
https://www.tohokukanko.jp/zh_th/attractions/detail_2007.html
https://www.tohokuandtokyo.org/spot_140/?language=th

เรียนรู้ และสนุกไปกับฟาร์มสเตย์ (Farm Stay), อาคิตะ (Akita)

MAY21_Nature_10

ทดลองทำคิริทันโปะกับเจ้าของบ้าน

MAY21_Nature_06

เก็บพืชผักในฤดูหนาวกับเจ้าของบ้าน

เมืองโอดะเตะ (Odate) ตั้งอยู่ในจังหวัดอาคิตะ (Akita) มีชื่อเสียงในเรื่องการเป็นบ้านเกิดของสุนัขอาคิตะ (Akita Dog) เป็นบ้านเกิดของฮะจิ​ (Hachi) สุนัขพันธุ์อาคิตะซึ่งเป็นที่รู้จักจากการเล่าขานของความซื่อสัตย์ต่อเจ้านายจนมีรูปปั้นของตัวเองตั้งอยู่ใจกลางชิบูยะ (Shibuya) และยังมีศูนย์ศึกษาเกี่ยวกับสุนัขพันธุ์นี้ตั้งอยู่อีกด้วยที่ อาคิตะ-อินุ โนะ ซะโตะ (Akita-Ino no Sato) รวมไปถึงการพักค้างคืนแบบ ฟาร์มสเตย์​ (Farm Stay) ก็เป็นกิจกรรมยอดฮิตที่ควรค่าแก่การมาสัมผัสความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างแท้จริง

ฟาร์มสเตย์​ (Farm Stay) คือ กิจกรรมการพักค้างคืนรูปแบบใหม่ที่แตกต่างไปจากการนอนโรงแรมโดยสิ้นเชิง ผู้เข้าพักจะได้เข้าพักที่ฟาร์มหรือบ้านของเจ้าของฟาร์ม (โฮสท์) และจะมีกิจกรรมให้ผู้เข้าพักได้ทำในระหว่างที่เข้าพักอีกด้วย ตัวอย่างเช่น การเก็บผัก ทำสวน ทำนา รวมไปถึงการทำอาหารร่วมกันกับคุณลุง คุณป้าเจ้าของฟาร์ม ซึ่งอาจจะเป็นการนำวัตถุดิบที่เพิ่งเก็บมานำมาทำอาหารรับประทานร่วมกัน ซึ่งเจ้าของฟาร์มแต่ละคนก็จะมีกิจกรรมที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงกิจกรรมก็จะแตกต่างกันออกไปตามแต่ฤดูกาลที่เข้าพัก ตัวอย่างเช่น

  • ฤดูใบไม้ผลิ-ฤดูร้อน จะมีกิจกรรมอย่างเช่น การหว่านเมล็ดข้าว เก็บผักผลไม้ประจำฤดูอย่างแอปเปิ้ล ลูกแพร์ โดยกิจกรรมต่าง ๆ มีความแตกต่างกันในแต่ละฟาร์ม
  • ฤดูใบไม้ร่วง-ฤดูหนาว ก็จะมีกิจกรรมที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่น การเก็บข้าว เก็บผักผลไม้ ตัดไม้ ทำผักดอง สร้างกระท่อมหิมะ เดินหิมะด้วยร้องเท้าสำหรับเดินบนหิมะ และอื่น ๆ อีกมากมาย

อีกกิจกรรมที่นิยมทำกันมากที่สุดสำหรับการเข้าพักแบบฟาร์มสเตย์​ (Farm Stay) ในเมืองโอดะเตะ (Odate) คือ การทำคิริทันโปะ (Kiritanpo) หรือข้าวปิ้งเสียบไม้ เมนูอาหารประจำจังหวัดอาคิตะ (Akita) โดยโฮสท์จะให้ผู้เข้าพักร่วมทำเมนูนี้ไปด้วยกัน และรับประทานพร้อมกันอย่างสนุกสนานเป็นกันเอง และยังมีกิจกรรมอื่น ๆ โดยขึ้นอยู่กับแต่ละฟาร์มที่เข้าพัก โดยสามารถเลือกเข้าพักได้ตั้งแต่ 1 คืน ไปจนถึง 3 คืน กิจกรรมที่ทำก็จะมากน้อยไปตามจำนวนคืนที่เข้าพัก หากเข้าพักในช่วยฤดูหนาวที่มีหิมะตกก็จะได้ลองทำกระท่อมหิมะสวย ๆ บริเวณรอบบ้านได้อีกด้วย

พิเศษสำหรับคนที่รักสุนัข ฟาร์มสเตย์บางแห่งจะมี สุนัขพันธุ์อาคิตะ (Akita Dog) เลี้ยงไว้ภายในบ้านคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนด้วยความน่ารักด้วยเช่นกัน

สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงที่ห้ามพลาด

● อาคิตะ-อินุ โนะ ซะโตะ (Akita-Ino no Sato)

เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นำสุนัขพันธุ์อาคิตะที่เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 โดยสถานที่จะตั้งอยู่ด้านหน้าสถานีรถไฟ JR Odate สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้สร้างขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์สถานที่ที่จะได้พบกับสุนัขพันธุ์อาคิตะได้ทุกเมื่อ โดยนอกจากจะประชาสัมพันธ์ข้อมูลการท่องเที่ยวบริเวณรอบของเมืองโอดาเตะ (Adate Area) แล้ว ก็ยังมีร้านจำหน่ายสินค้าของฝากที่ระลึก และมีโซนพื้นที่สำหรับกิจกรรมต่าง ๆ อีกด้วย ภายในอาคารแห่งนี้ นอกจากจะมีห้องจัดแสดงตัวอย่างสุนัขพันธุ์อาคิตะให้ได้ชมกันแล้ว ก็ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการที่อธิบายลักษณะเด่นของสุนัขสายพันธุ์อาคิตะนี้ด้วยเช่นกัน
https://akitainunosato.jp/ (ภาษาญี่ปุ่น)
https://visitakita.com/en/meet/ (ภาษาอังกฤษ)

● โอดะเตะ กุรุมิ อนเซ็นเคียว (Odate Gurumi Onsenkyo)

ภายในเมืองโอดะเตะ (Odate) มีอนเซ็นกลางแจ้งสวย ๆ ให้ได้ไปสัมผัสมากถึง 20 แห่งกระจายอยู่โดยรอบเมือง ได้รับการกำหนดให้เป็นพื้นที่น้ำพุร้อนเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจแห่งชาติโดยกระทรวงสิ่งแวดล้อมภายใต้ชื่อ “Odate Gurumi Onsenkyo” ในปีค.ศ. 2017
https://visitakita.com/en/hotel/ (ภาษาอังกฤษ)
https://stayakita.com/things-to-do/category/stay-and-relax (ภาษาอังกฤษ)

สำหรับเมนูที่ควรลิ้มลอง

เมนูแนะนำก็คือ คิริทันโปะ (Kiritanpo) เป็นอาหารประจำจังหวัดอาคิตะ (Akita) ทำมาจากข้าวสุกที่โขลกจนละเอียดแล้วนำมาปั้นเป็นทรงกระบอกแล้วเสียบไม้ ปิ้งไว้ข้างเตาไฟจนมีสีน้ำตาลดำ เสิร์ฟพร้อมซอสมิโซะ หรือนำไปใส่ในซุปนาเบะก็ได้เช่นกัน

รายละเอียดสถานที่เพิ่มเติม

ที่อยู่ Odate Station
1-chome-3 Onaricho, Odate, Akita 017-0044
แผนที่
การเดินทาง จากสถานี Tokyo โดยสารรถไฟ Tohoku Shinkansen ไปลงที่สถานี Shin-Aomori ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 17 นาที จากนั้นโดยสารรถไฟ Ou Line ไปลงที่สถานี Odate ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 19 นาที
**มีบริการรับ/ส่งระหว่างที่พักที่สถานี (ไม่มีค่าใช้จ่าย)**
เวลาทำการ เช็คอิน 15:00 น.
วันหยุด
ค่าใช้จ่าย Farm Stay
7,500 เยน / คน / คืน (เพิ่ม 400 เยน ค่าบริการทำความร้อน คน / คืน)
รวมค่ากิจกรรมทำคิริทันโปะ (อาหารเย็น) อาหารเช้า และค่าบริการออนเซ็นในพื้นที่
ราคาอาจไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับที่พักแต่ละแห่ง

  • ทำคิริทันโปะ 2,500 เยน (กรณีไม่ได้เข้าพักที่ฟาร์ม)
  • ทำโซบะ 2,000 เยน
  • ทำฟาร์ม 2,000 เยน
  • ทำกล่องข้าว 3,000 ~ 5,000 เยน ขึ้นอยู่กับขนาดของกล่องที่ทำ
เว็บไซต์ (ภาษาญี่ปุ่น) https://marugoto-odate.amebaownd.com
https://visitakita.com/activity/28729/
https://www.discovermuranotakara.com/sentei/select5/no07/
เว็บไซต์ (ภาษาอังกฤษ) https://marugoto-odate-eng.amebaownd.com
https://visitakita.com/en/activity/28729/
เว็บไซต์ (ภาษาไทย)

ผ่อนคลายไปกับธรรมชาติอันสวยงามแห่งเมืองฮานะมาคิ (Hanamaki), อิวาเตะ (Iwate)

MAY21_Nature_13

ผ่อนคลายไปกับการแช่อนเซ็น พลางชมใบไม้เปลี่ยนสีที่
โอซะวะ อนเซ็น (Osawa Onsen)

MAY21_Nature_01

เหล่าพนักงานเสิร์ฟกำลังส่งเสียงเชียร์ให้ลูกค้า
แข่งขันกันทานวังโกะโซบะ (Wanko Soba)

เมืองฮานะมาคิ (Hanamaki) ตั้งอยู่ใจกลางจังหวัดอิวาเตะ (Iwate) เป็นพื้นที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำคิตะคามิ (Kitakami River) ไหลผ่าน อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทิวทัศน์ธรรมชาติตามฤดูกาลที่หลากหลาย รวมทั้งยังมีจุดชมดอกซากุระในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์สีแดงสลับเหลืองในช่วงฤดูใบไม้ร่วงอีกมากมาย

เมืองฮานะมาคิ (Hanamaki) เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องอนเซ็นอันเก่าแก่ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ และพลังประจุลบซึ่งจะช่วยบำบัดร่างกาย มีหมู่บ้านน้ำพุร้อนฮานะมาคิ อนเซ็นเคียว (Hanamaki Onsen-kyo) ที่ประกอบไปด้วยบ่อน้ำพุร้อนทั้งหมด 12 แห่ง ได้แก่

  • ฮานะมาคิ อนเซ็น (Hanamaki Onsen)
  • ได อนเซ็น (Dai Onsen)
  • มะสึคุระ อนเซ็น (Matsukura Onsen)
  • ชิโดะไทระ อนเซ็น (Shidotaira Onsen)
  • วะตะริ อนเซ็น (Watari Onsen)
  • โอซะวะ อนเซ็น (Osawa Onsen)
  • ยะมะโนะคะมิ อนเซ็น (Yamanokami Onsen)
  • นะมะริ อนเซ็น (Namari Onsen)
  • ชินนะมะริ อนเซ็น (Shinnamari Onsen)
  • คะนะยะ อนเซ็น (Kanaya Onsen)
  • ฮานะมาคิ คิตะ อนเซ็น (Hanamaki-kita Onsen)
  • โทวะ อนเซ็น (Towa Onsen)

อนเซ็นทั้ง 12 แห่งนี้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกในการไปชมใบไม้เปลี่ยนสี โดยเฉพาะที่ฮานะมาคิ อนเซ็น (Hanamaki Onsen) เพราะนอกจากจะได้นอนแช่อนเซ็นแล้ว บริเวณรอบแหล่งอนเซ็นยังรายล้อมด้วยภูเขา มีเส้นทางธรรมชาติให้นักท่องเที่ยวเดินเล่นถ่ายรูป และดื่มด่ำกับบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสี ในช่วงกลางเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน

จุดชมใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยมรอบเมืองฮานะมาคิ (Hanamaki) ได้แก่

  • เขาฮะยะชิเนะ ( Hayachine)
  • น้ำตกคะมะบุจิโนะ (Kamabuchino Taki)
  • ศาลเจ้าฮานะมาคิ (Hanamaki Onsen Inari Shrine)
  • รอบทะเลสาบทะเสะ (Tase lake)
  • ลำธารคุสุมะรุกะวะ (Kuzumarugawa Stream)

นอกจากนี้ การเดินทางมายังเมืองฮานะมาคิ (Hanamaki) สามารถเดินทางเที่ยวด้วยรถไฟขบวนพิเศษ ที่ชื่อว่า SL Ginga รถจักรไอน้ำโบราณที่ยังใช้ถ่านเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน โดยวิ่งระหว่างสถานีฮานะมาคิ (Hanamaki) กับสถานีคะมะอิชิ (Kamaishi) ในจังหวัดอิวาเตะ (Iwate) ซึ่งจะใช้เวลาทั้งหมดราว 4 ชั่วโมงครึ่ง การออกแบบของรถไฟหัวจักรไอน้ำ SL คันนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากวรรณกรรมเรื่องรถไฟสายทางช้างเผือก (Night on the Galactic Railroad) ตัวขบวนทั้งหมดตกแต่งเป็นลวดลายดวงดาวกาแล็คซี่ มีพื้นเป็นสีน้ำเงินสวยงดงาม โดยภายใน 4 ตู้ ตกแต่งไม่เหมือนกันซึ่งแต่ละตู้โดยสารรถไฟเต็มไปด้วยผลงานของมิยาซาวะ มีการจำลองฉากและบรรยากาศเหมือนกับรถไฟในยุคของมิยาซาวะ โดยจะเปิดให้บริการเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น แนะนำให้จองที่นั่งล่วงหน้าก่อนเดินทาง

สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงที่ห้ามพลาด

● เขาฮะยะชิเนะ (Mt. Hayachine)

เป็นภูเขาที่สูงที่สุดถึง 1,917 เมตร ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของเมืองฮานะมาคิ (Hanamaki) ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่เต็มไปด้วยพันธุ์ดอกไม้ป่าหาดูยาก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามภูเขาดอกไม้ที่มีขุมสมบัติของพืชอัลไพน์ประมาณ 200 ชนิด และยังติดอันอับ 1 ใน 100 ภูเขาที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น และได้รับความนิยมในการชมใบไม้เปลี่ยนสีในช่วง กลางเดือนกันยายน ถึง ต้นเดือนตุลาคม
เขาฮะยะชิเนะ (Mt. Hayachine) จะเปิดให้ขึ้นชมในวันอาทิตย์ที่สองของเดือนมิถุนายนของทุกปี และมีคอร์สเทรคกิ้งที่มือใหม่หัดเดินก็สามารถพิชิตยอดเขาได้ โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง และช่วงฤดูปีนเขาจะเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ถึงสิงหาคม รวมถึงบนเขายังเปิดให้นักท่องเที่ยวสายแอดเวนเจอร์ขึ้นไปกางเต็นท์ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ถึงปลายเดือนพฤศจิกายน
https://www.kanko-hanamaki.ne.jp/en/hayachine/index.html (ภาษาอังกฤษ)
https://visitiwate.com/article/4705 (ภาษาอังกฤษ)

สำหรับเมนูที่ควรลิ้มลอง

เมนูแนะนำก็คือ วังโคะโซบะ (Wanko Soba) เป็น อาหารต้นตำรับของเมืองฮานะมาคิ (Hanamaki) โดยพนักงานเสิร์ฟจะคอยเทเส้นโซบะลงในถ้วยทีละคำเล็ก ๆ ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีการหยุดจนกว่าลูกค้าจะบอก เป็นการแข่งกับคนอื่น ๆ ว่าใครจะทานได้มากกว่ากัน

รายละเอียดสถานที่เพิ่มเติม

ที่อยู่ Hanamaki Onsen Kyo
1-125 Yumoto, Hanamaki-shi, Iwate
แผนที่
การเดินทาง จากสถานี Tokyo โดยสารรถไฟ JR Yamabiko Shinkansen ไปลงที่สถานี Shin-Hanamaki ใช้เวลา 3 ชั่วโมง จากนั้นโดยสารถไฟ JR Kamaishi Line ไปลงที่สถานี Hanamaki ใช้เวลา 10 นาที
เวลาทำการ เช็คอิน 15:00 น. เช็คเอ้านท์ 10:00 น.
ขึ้นอยู่กับที่พักแต่ละแห่ง
วันหยุด ขึ้นอยู่กับที่พักแต่ละแห่ง
ค่าใช้จ่าย ขึ้นอยู่กับที่พักแต่ละแห่ง
เว็บไซต์ (ภาษาญี่ปุ่น) https://www.kanko-hanamaki.ne.jp/index.html
https://www.kanko-hanamaki.ne.jp/hanamaki12to/index.html
https://makimaki-hanamaki.com/hanamaki
https://hayachinehounansou.eyado.net/hayachine.html
เว็บไซต์ (ภาษาอังกฤษ) https://www.kanko-hanamaki.ne.jp/en/index.html
https://www.kanko-hanamaki.ne.jp/en/spa/
https://www.japan.travel/en/spot/440/
เว็บไซต์ (ภาษาไทย)

การฝึกศิลปะการต่อสู้อิไอโดะ (Murayama Iaido Experience), ยามากาตะ (Yamagata)

MAY21_Nature_09

ฝึกศิลปะการต่อสู้อิไอโดะ (Iaido)

MAY21_Nature_02

สุกี้ยากี้เนื้อโยเนะซาวะ (Yonezawa Beef Sukiyaki)

อิไอโดะ (Iaido) เป็นศิลปะการต่อสู้โดยใช้เทคนิคการวาดดาบ ที่มีต้นกำเนิดมาจากเมืองมุรายามะ (Murayama) ในจังหวัดยามากาตะ (Yamagata) ก่อตั้งโดยปรมาจารย์ฮะยะชิซะกิ ชิเก็นโนะบุ (Hayashizaki Shigenobu) เมื่อปีค.ศ. 1542 ที่เป็นช่วงสงครามรณรัฐ (Warring States Period) ในยุคนั้น ดาบญี่ปุ่น กลายเป็นอาวุธธรรมดาทั่วไปที่ใช้ในการทำร้ายผู้คน จึงถือกำเนิดศิลปะการต่อสู้แบบใหม่ผ่านวิถีแห่งอิไอ หรือ ดาบอิไอ (Iai) นี้เอง ที่ต้องใช้การควบคุมจิตวิญญาณ และทักษะเป็นอย่างมาก ซึ่งปรมาจารย์ฮะยะชิซะกิ ชิเก็นโนะบุได้ทำการฝึกฝนทักษะวิชาดาบอิไอโดะ (Iaido)

ศิลปะการต่อสู้อิไอโดะ (Murayama Iaido Experience) ก่อตั้งวิชาดาบนี้ขึ้นที่ศาลเจ้าคุมาโนะ (Kumano Shrine) ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นศาลเจ้าฮะยะชิซะกิ อิไอ (Hayashizaki Iai Shrine) ซึ่งมีผู้คนมากมายเดินทางมาสักการะกันทุกปี ซึ่งในปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสามารถทดลองเรียนศิลปะการต่อสู้อิไอโดะ (Iaido) ได้ที่อาคารอิไอโดะ ชินบุคัง โดโจ (Iaido Shinbukan Dojo) ซึ่งตั้งอยู่ติดกับศาลเจ้าฮะยะชิซะกิ อิไอ (Hayashizaki Iai Shrine) ผู้เข้าร่วมจะได้สวมชุดซามูไร และเรียนรู้วิธีใช้ร่างกาย วิธีจับดาบ กระบวนท่าต่าง ๆ และการฝึกฝนจิตใจ เป็นต้น

การฝึกศิลปะการต่อสู้อิไอโดะ (Murayama Iaido Experience) โดยมีให้เลือกทั้งหมด 4 คอร์สด้วยกัน

  1. Iaido battojutsu samurai experience ใช้เวลา 120 นาที คนละ 12,000 เยน
    คอร์สนี้ผู้เข้าร่วมจะได้เปลี่ยนชุดเป็นนักรบซามูไร เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และเทคนิคการวาดดาบอิไอ (Iai) พร้อมกับชมการสาธิตการวาดดาบจากปรมาจารย์ และเข้าสู่การเรียนรู้วิธีการจับดาบ กฎเกณฑ์ กระบวนท่าต่าง ๆ จากนั้นจะได้ลองฟันเสื่อมัดด้วยการลงดาบเพียงครั้งเดียว ซึ่งเป็นการฟันที่ต้องใช้สมาธิ และความแม่นยำในชั่วพริบตา และจบคอร์สด้วยการร่วมถ่ายภาพที่ระลึก
  2. Iaido experience ใช้เวลา 90 นาที คนละ 8,000 เยน
    คอร์สนี้ผู้เข้าร่วมจะได้เปลี่ยนชุดเป็นนักรบซามูไร เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และเทคนิคการวาดดาบอิไอ (Iai) พร้อมกับชมการสาธิตการวาดดาบจากปรมาจารย์ และเข้าสู่การเรียนรู้วิธีการจับดาบ กระบวนท่าต่าง ๆ ขั้นพื้นฐาน และจบคอร์สด้วยการร่วมถ่ายภาพที่ระลึก
  3. Iai Shrine Samurai Show ใช้เวลา 40 นาที คนละ 50,000 เยน
    คอร์สนี้ผู้เข้าร่วมจะได้เดินทัวร์ และสักการะศาลเจ้าฮะยะชิซะกิ อิไอ  (Hayashizaki Iai Shrine)  จากนั้นจะเป็นการบรรยายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และเทคนิคการวาดดาบอิไอ (Iai) พร้อมกับชมการสาธิตการวาดดาบจากปรมาจารย์ และจบคอร์สด้วยการร่วมถ่ายภาพที่ระลึก
  4. Iaido battojutsu private training ใช้เวลา 5 ชั่วโมง คนละ 30,000 เยน
    คอร์สนี้ผู้เข้าร่วมจะได้เปลี่ยนชุดเป็นนักรบซามูไร เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และเทคนิคการวาดดาบอิไอ (Iai) พร้อมกับชมการสาธิตการวาดดาบจากปรมาจารย์ และเข้าสู่การเรียนรู้วิธีการจับดาบ กฎเกณฑ์ กระบวนท่าต่าง ๆ ระดับขั้นสูง จากนั้นจะได้ลองฟันเสื่อมัดด้วยการลงดาบเพียงครั้งเดียว ซึ่งเป็นการฟันที่ต้องใช้สมาธิ และความแม่นยำในชั่วพริบตา และจบคอร์สด้วยการร่วมถ่ายภาพที่ระลึก

สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงที่ห้ามพลาด

● เทือกเขาซะโอ (Mount Zao)

ทอดตัวตัดระหว่างจังหวัดมิยากิ (Miyagi) และจังหวัดยามากาตะ (Yamagata) โดยช่วงฤดูหนาวหิมะจะปกคลุมทั่วพื้นที่เป็นสีขาวโพลน และเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในการมาชมปีศาจหิมะ (Ice Monster) รวมถึงมีลานสกี และแหล่งอนเซ็นอันโด่งดังอย่างกินซังอนเซ็น (Ginzan Onsen)
https://miyagizao-navi.jp/en/ (ภาษาอังกฤษ)
http://zaoropeway.co.jp/en/ (ภาษาอังกฤษ)

● วัดยะมะเดะระ (Yamadera Temple)

มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า วัดริชชะคุจิ (Risshaku-ji) หากต้องการความสงบ และท้าทาย สามารถเดินขึ้นบันได 1,000 ขั้นขึ้นไปสักการะพระพุทธรูปได้ด้านบน ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง บริเวณเชิงเขานี้จะถูกปกคลุมไปด้วยสีสันของใบไม้เปลี่ยนสี ทั้งสีแดงส้มสลับเหลืองสวยงดงาม
・ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ 300 เยน / เด็ก (มัธยมต้น) 200 เยน / 4 ขวบ – เด็ก (ประถม) 100 เยน
https://www.tohokukanko.jp/en/attractions/detail_1339.html (ภาษาอังกฤษ)
https://www.yamaderakankou.com (ภาษาอังกฤษ)

สำหรับเมนูที่ควรลิ้มลอง

อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดยามากาตะ (Yamagata) ที่ไม่ควรพลาด คือ เนื้อโยเนะซาวะ (Yonezawa Beef) เป็นเนื้อวัวจากเมืองโยเนะซาวะ (Yonezawa) ที่มีลายไขมันหินอ่อนแทรกอยู่ในเนื้อ รสชาติหวานหอมกำลังดีและไม่เลี่ยนจนเกินไป เมนูแนะนำก็คือ สุกี้ยากี้เนื้อโยเนะซาวะ (Yonezawa Beef Sukiyaki) เป็นเมนูหม้อไฟ ที่นิยมใช้เนื้อวัวส่วนดีเพื่อให้ได้รสชาติที่อร่อย และละมุนลิ้น น้ำซุปจะน้อยแค่พอขลุกขลิก และมีรสชาติออกหวาน และเค็ม มีวิธีการปรุงคือ นำซอสสุกี้ยากี้สีดำ (หากไม่มีสามารถใช้น้ำตาลทราย ผสมกับโชยุแทนได้) ลงไปต้มในกระทะแบนให้พอขลุกขลิก ใส่เนื้อสัตว์ และผักประเภท ผักกาดขาว เห็ดหอม เห็ดเข็มทอง แครอท หัวหอมใหญ่ ต้นหอมญี่ปุ่น เต้าหู้ ข้าวโพดเป็นต้น ผัดให้พอสุก และทานกับไข่ดิบที่สด จะได้รสชาติที่กลมกล่อมพอดี

รายละเอียดสถานที่เพิ่มเติม

ที่อยู่ Murayama Iaido Experience
86-1 Hayashizaki, Murayama, Yamagata
แผนที่
การเดินทาง จากสถานี Tokyo โดยสารรถไฟ Tohoku Shinkansen ไปลงที่สถานี Murayama (Yamagata) ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 4 นาที จากนั้นโดยสารรถแท็กซี่ 10 นาที
เวลาทำการ ไม่มีเวลาแน่นอน กรุณาสอบถามกับทางสมาคม
https://en.iaidoexperience.com/blank
วันหยุด ไม่มีเวลาแน่นอน กรุณาสอบถามกับทางสมาคม
https://en.iaidoexperience.com/blank
ค่าใช้จ่าย 90 นาที 8,000 เยน
120 นาที 12,000 เยน
40 นาที 50,000 เยน
5 ชั่วโมง 30,000 เยน
*จองก่อนล่วงหน้า
เว็บไซต์ (ภาษาญี่ปุ่น) https://www.iaidoexperience.com
https://www.murayama-kanbutu.com/
https://yamagatakanko.com/
เว็บไซต์ (ภาษาอังกฤษ) https://en.iaidoexperience.com/
https://yamagatakanko.com/en/
เว็บไซต์ (ภาษาไทย) https://yamagatakanko.com/th/

ทัวร์ชิมอาหารท้องถิ่นสไตล์อิซากายะ (Izakaya Dinner with Tuna Show & Sushi Workshop), มิยากิ (Miyagi)

MAY21_Nature_11

กิจกรรมโชว์แล่ปลาทูน่า และ ทำซูชิ

MAY21_Nature_03

กิจกรรมทำตุ๊กตาไม้โคเคชิ (Kokeshi)

เมืองเซนได (Sendai) เป็นเมืองหลวงของจังหวัดมิยากิ (Miyagi) และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ทำให้เซนไดเป็นเมืองที่เหมาะแก่การเป็นฐานในการทำความรู้จักภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku)

ใจกลางเมืองเซนได (Sendai) เป็นสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับซามูไรได้ถูกแสดงออกมาทางโบราณสถานและสถาปัตยกรรมสำคัญที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในสภาพสมบูรณ์เป็นอย่างดี และยังแหล่งร้านค้า มีร้านอาหาร และแหล่งช็อปปิ้งให้เที่ยวมากมายในเมืองเดียว สามารถที่จะหลงใหลไปกับมนต์เสน่ห์ความงาม ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และความทันสมัยในเวลาเดียวกันได้

และอีกหนึ่งประเด็นจังหวัดมิยากิ (Miyagi) เป็นแหล่งประมงและแหล่งแปรรูปอาหารทะเลที่สำคัญแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวสามารถหาทานอาหารทะเลสด ๆ ไม่ว่าจะเป็นหอยนางรม ปลาทูน่า หรือข้าวหน้าปลาดิบ และซูชิได้ตามร้านทั่วไป หนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเมื่อมาเยือนยังจังหวัดมิยากิ (Miyagi) คือ การเข้าร่วมทัวร์ชิมอาหารท้องถิ่น พร้อมเพลิดเพลินไปกับการแสดงการแล่เนื้อปลาทูน่า และทำซูชิด้วยตัวเอง แบบที่ไม่เหมือนใคร โดยทัวร์นี้จะเริ่มต้นด้วยการพานักท่องเที่ยวไปอิ่มอร่อยกับอาหารค่ำประจำท้องถิ่นที่ร้าน เฮะโซะโนะ-โอ (Hesono-o) ซึ่งเป็นร้านอิซากายะแบบดั้งเดิม หรือบาร์สไตล์ญี่ปุ่น ในเมืองเซนได (Sendai) ซึ่งเชฟมากฝีมือจะคัดสรรเมนูพิเศษอย่างเช่น อาหารตามฤดูกาลจากเมืองเซนได (Sendai) และทั่วภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) จับคู่อาหารแต่ละจาน กับเครื่องดื่มรสเลิศ ระหว่างคอร์สก็จะได้รับชมโชว์แล่ปลาทูน่าตัวใหญ่สด ๆ ตรงหน้า ทีละขั้นตอนอย่างบรรจง พร้อมกับปั้นเนกิริซูชิ (Negiri Sushi) จากปลาทูน่าด้วยตัวเอง ทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง ในราคาเพียง 10,000  เยนต่อคนเท่านั้น

สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงที่ห้ามพลาด

● เทศกาลทานาบาตะ (Tanabata Matsuri)

เป็นวันฉลองดวงดาวของประเทศญี่ปุ่น ตรงกับวันที่ 7 กรกฎาคม ทั่วเมืองเซนได (Sendai) จะเต็มไปด้วยโคมพู่หลากสี และกิ่งไผ่ที่ถูกประดับประดาด้วยกระดาษขอพรหลากสีสันซึ่งเรียกว่า ซาซะคาซาริ (Sasakazari) บางกิ่งมีความสูงถึง 10 เมตร ดูยิ่งใหญ่ตระการตา โดยเทศกาลนี้จะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันที่ 6 – 8 สิงหาคม ระหว่างช่วงเทศกาลจะมีกิจกรรมตามจุดต่าง ๆ ทั่วเมือง ไม่ว่าจะเป็นการชมการเล่นแสงสีที่ปราสาทเซนได (Sendai Castle) และอนุสาวรีย์ดาเตะ มาซามุเนะ (Deta Masamune), ชมการเต้นรำบงโอโดริ (Bon Odori) และซุสุเมะโอโดริ (Zusume Odori) ตามถนนย่านช้อปปิ้ง, ชมพู่นกกระเรียนกระดาษทำมือกว่า 10,000 ตัวที่ใจกลางเมือง เป็นต้น
และคืนก่อนวันงานมีเทศกาลทานาบาตะ (Tanabata Matsuri) จะมีการจุดดอกไม้ไฟจำนวนกว่า 16,000 นัดที่สวนนิชิ (Nishi Park) เพื่อเป็นงานเฉลิมฉลองก่อนเริ่มต้นเทศกาล
http://www.sendaitanabata.com (ภาษาอังกฤษ)
https://www.sendaitanabata.com/img/map/2019_guide_thai.pdf (ภาษาไทย)

● ร้านตุ๊กตาโคเคชิโนะ ชิมะนุคิ (Kokeshino SHIMANUKI)

เป็นร้านขายตุ๊กตาโคเคชิ (Kokeshi) และยังเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาสัมผัสความเป็นญี่ปุ่นผ่านกิจกรรมระบายสีตุ๊กตาโคเคชิ (Kokeshi) โดยมีให้เลือกด้วยกันว่า 6 แบบ ในราคาเพียง 400 เยน และ 700 เยน สามารถระบายสี ตกแต่งได้ตามชอบ แล้วเอากลับบ้านไปเป็นของฝากได้อีกด้วย
https://www.shimanuki.co.jp/event/kokeshietsuke.html (ภาษาญี่ปุ่น)
https://sendai-experience.com/en/ex/51 (ภาษาอังกฤษ)

● สุสานซูอิโฮเดน (Zuihoden Mausoleum)

เป็นสุสานที่ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1637 ของท่านดาเตะ มาซามูเนะ (Date Masamune) ผู้ครองนครคนแรกของแคว้นเซนได (Sendai) ในสมัยเอโดะ (Edo) บริเวณสุสานแห่งนี้ตั้งอยู่บนยอดเขา รายล้อมด้วยต้นซีดาร์ ตัวอาคารถูกสร้างด้วยโครงไม้สีดำที่ตกแต่งด้วยการแกะสลักอย่างประณีต และทาด้วยสีสันสดใส
・ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ 500 เยน / เด็ก (มัธยมปลาย) 400 เยน / เด็ก (มัธยมต้นลงไป) 100 เยน
https://www.zuihoden.com/en/ (ภาษาอังกฤษ)
https://www.tohokukanko.jp/en/attractions/detail_1438.html (ภาษาอังกฤษ)

สำหรับเมนูที่ควรลิ้มลอง

อาหารขึ้นชื่อของเมืองเซนได (Sendai) ต้องยกให้กับ ลิ้นวัวย่าง หรือที่เรียกว่า กิวตัน (Gyutan) มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ปีค.ศ.1948 โดยเจ้าของร้านอุมะมิ ทะสุเคะ (Umami Tasuke) ได้มีโอกาสไปทานสตูว์ลิ้นวัว ซึ่งเป็นอาหารของชาวตะวันตกแล้วประทับใจในรสชาติ จนเกิดเป็นไอเดีย นำเมนูมาดัดแปลงเป็น ลิ้นวัวย่างเจ้าแรก และเริ่มเป็นที่แพร่หลายในเซนได (Sendai) มากขึ้น จนปัจจุบันมีร้านขายลิ้นวัวย่างในเมืองเซนได (sendai) กว่า 100 ร้านเลยทีเดียว
เมนูแนะนำก็คือ กิวตัน (Gyutan) เซ็ตลิ้นวัวย่าง ที่ขายทั่วไปจะประกอบด้วยลิ้นวัวย่างเสิร์ฟมาพร้อมกับข้าวบาร์เลย์ และซุปหางวัว พร้อมกับผักกาดขาวดอง แต่ละร้านก็จะปรุงรสลิ้นวัวต่างกันออกไป มีทั้งรสเกลือ รสมิโซะ และรสซอส แต่ไม่ว่าจะรสใดก็ตาม เอกลักษณ์ของลิ้นวัวเซนไดก็คือคือความนุ่ม และชุ่มฉ่ำของลิ้นวัวนั่นเอง

รายละเอียดสถานที่เพิ่มเติม

ที่อยู่ Izagaya Dinner with Tuna Show & Sushi Workshop
2-6-5 Omachi, Aoba Ward, Sendai, Miyagi
แผนที่
การเดินทาง จากสถานี Tokyo โดยสารรถไฟ JR Tohoku Shinkansen ไปลงที่สถานี Sendai ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที
เวลาทำการ เวลาเริ่มทัวร์ 18:00 – 20:30 น.
วันหยุด วันอาทิตย์
ค่าใช้จ่าย 10,000 เยนต่อคน
เว็บไซต์ (ภาษาญี่ปุ่น)
เว็บไซต์ (ภาษาอังกฤษ) https://www.tohoku-local-secret-tours.jp/tourinfo/729/
https://shiroishi-navi.jp/en/detail/yajiro-kokeshi-doll-village/
เว็บไซต์ (ภาษาไทย) https://www.tohokuandtokyo.org/spot_120/?language=th

สัมผัสความยิ่งใหญ่ที่ปราสาททสึรุกะ (Tsuruga Castle), ฟุกุชิมะ (Fukushima)

Tsuruga-jo Castle or Aizuwakamatsu Castle surrounded by cherry-blossom trees (sakura trees), Aizuwakamatsu, Fukushima Prefecture, Japan

ปราสาทสึรุกะ (Tsuruga Castle) ท่ามกลางดอกซากุระ

FUKUSHIMA, JAPAN - NOVEMBER 08, 2019: Ouchijuku village is a fomer post town along the Aizu-Nishi Kaido trade route, which connected Aizu with Nikko during the Edo period

หมู่บ้านโออุจิจูคุ (Ouchijuku)

ปราสาททสึรุกะ (Tsuruga Castle) ที่แปลว่า “ปราสาทนกกระเรียน” ตั้งอยู่ที่เมืองไอซุวะกะมัทสึ (Aizu-Wakamatsu) ในจังหวัดฟุกุชิมะ (Fukushima) หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ ปราสาทไอซุวะกะมัทสึ (Aizu-Wakamatsu Castle) เป็นปราสาทเก่าแก่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สามารถต้านการปิดล้อมเป็นเดือนจากรัฐบาลใหม่ในยุคสงครามโบชิน (Boshin War) ในปีค.ศ. 1868 ได้รับการยอมรับให้เป็น 1 ใน 100 ปราสาทที่สวยที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น

หนึ่งในความพิเศษของปราสาทปราสาททสึรุกะ (Tsuruga Castle) ที่ไม่มีใครเหมือนก็คือกระเบื้องหลังคาสีแดงโดดเด่น และสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในระยะไกล ตัวปราสาทนั้นมีหอคอยห้าชั้น ปัจจุบันนี้ปราสาทเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมโดยสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์เพื่อเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาตร์ได้อย่างเต็มอิ่ม โดยด้านในมีการจัดแสดงเอกสารและข้าวของเครื่องใช้โบราณของเหล่าขุนนางที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์จำนวนมาก และที่ชั้นบนสุดของตัวปราสาทเป็นจุดชมวิวเมืองไอซุวะกะมัทสึ (Aizu-Wakamatsu) ที่มองลงมาจะเห็นทิวทัศน์ของอาณาจักรไอซุ (Aizu) และบริเวณเมืองรอบปราสาทได้แบบ 360 องศา

บริเวณใกล้เคียงกันนั้นก็สามารถที่จะเพลิดเพลินกับการจิบชาที่โรงน้ำชาริคะคุ (Tea ceremony room Rinkaku) ไปพร้อมกับการชมความสวยงามของสวน และปราสาททสึรุกะ (Tsuruga Castle) ได้ที่บริเวณนี้อย่างเต็มอิ่ม

นอกจากนี้ที่สวนของปราสาททสึรุกะ (Tsuruga Castle Park) ก็เป็นที่นิยมอย่างมากเช่นกันโดยเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิ หรือช่วงฤดูดอกซากุระบานในเดือนเมษายน สามารถชมความงามของดอกซากุระที่มีอยู่ราว 1,000 ต้น ซึ่งจะมีดอกซากุระพันธุ์โซเมอิโยชิโนะ (Someiyoshino) และชิดาเระซากุระ (Shidarezakura) และในตอนกลางคืนจะมีการประดับประดาไฟให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมความงามของตัวปราสาทและดอกซากุระยามค่ำคืน (Night Sakura) อีกด้วย หรือ ในช่วงฤดูหนาว บริเวณสวนปราสาททสึรุกะ (Tsuruga Castle Park) ก็จะมีการจัดเทศกาลเทียนไอซุเอะ (Aizue Candle Festival) เทศกาลที่จะมีเทียนวางประดับความสวยงามในยามค่ำคืนส่องสว่างไปบนหิมะหนานุ่มที่มีฉากหลังเป็นปราสาททสึรุกะ (Tsuruga Castle)

สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงที่ห้ามพลาด

● พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์จังหวัดฟุกุชิมะ (Fukushima Prefectural Museum)

เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในจังหวัดฟุกุชิมะ (Fukushima) ตั้งแต่ยุคโจมง (Jomon Period) เรื่อยมา มีการแสดงวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละยุค รวมไปถึงสิ่งของที่ใช้ในการดำรงชีพมากมายให้ได้เรียนรู้
https://general-museum.fcs.ed.jp/ (ภาษาญี่ปุ่น)

● โรงบ่มสาเกซุเอะฮิโระ (Suehiro Sake Brewery)

ก่อตั้งขึ้นเมื่อปลายสมัยเอโดะในกลางศตวรรษที่ 19 คาอิงุระ (อาคารที่ผลิตเหล้าสาเก) ได้รับการกำหนดให้เป็นอาคารประวัติศาสตร์ที่สำคัญของเมืองไอซุวะกะมัทสึ (Aizu-Wakamatsu) สามารถเข้าชมพร้อมไกด์ที่จะคอยแนะนำเรื่องราวต่าง ๆ ไปจนถึงกระบวนการการผลิตสาเกของที่นี่ นอกจากนี้ยังสามารถทดลองชิมสาเกของที่นี่ได้มากถึง 6-10 ชนิดเลยทีเดียว
https://www.sake-suehiro.jp/ (ภาษาญี่ปุ่น)
https://fukushima.travel/destination/suehiro-sake-brewery-kaeigura/48 (ภาษาอังกฤษ)

● หมู่บ้านโออุจิจูคุ (Ouchijuku)

โดดเด่นที่สุดของหมู่บ้านแห่งนี้คือบ้านชาวนาญี่ปุ่นโบราณที่มุงหลังคาด้วยหญ้าคาหนา ๆ โดยรวมมีบ้านโบราณประมาณ 40-50 หลัง บรรยากาศที่เต็มไปด้วยบ้านโบราณ สัมผัสวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม สามารถเข้าชมภายในบ้านที่มีการจัดแสดงวิถีชีวิตต่าง ๆ เช่น เตาอิโระริ (Irori) สมัยเก่า และของใช้ในบ้านในยุคนั้น และยังมีร้านค้าต่างๆ โดยมีคุณตาคุณยายคอยต้อนรับตามร้านขายของที่ระลึก ร้านค้าขายสินค้าพื้นเมือง ร้านอาหาร
จุดเด่นของหมู่บ้านนี้ ได้แก่ ทางน้ำไหลสองฝั่งถนนที่คั่นระหว่างบ้าน และน้ำใสมากจนมองเห็นตะไคร่น้ำ ดังนั้นเวลาไปเที่ยวชม มักเห็นภาพที่ชาวบ้านกำลังนำผักหรือลังเครื่องดื่มมาแช่ไว้ในทางน้ำไหลนี้ ทำให้ผู้ที่มาพบเห็นได้สัมผัสถึงบรรยากาศที่เป็นกันเองสบาย ๆ ตามแบบวิถีของชาวบ้าน ณ หมู่บ้านโบราณกลางหุบเขาแห่งนี้
https://www.ouchi-juku.com/ (ภาษาญี่ปุ่น)
https://www.tohokukanko.jp/en/attractions/detail_1546.html (ภาษาอังกฤษ)

สำหรับเมนูที่ควรลิ้มลอง

เมนูแนะนำก็คือ ไอซุซอสคัตสึด้ง (Aizu Sauce Katsudon) หมูทอดจุ่มซอสสูตรพิเศษของเมืองไอซุวะกะมัทสึ โปะลงไปบนข้าวที่รองด้วยกะหล่ำซอยอีกชั้นหนึ่ง อิ่มอร่อยไปกับความกรอบ หอม และหวานของไอซุซอสคัตสึด้ง (Aizu Sauce Katsudon)

รายละเอียดสถานที่เพิ่มเติม

ที่อยู่ Tsuruga Castle
1-1 Otemachi, Aizuwakamatsu, Fukushima
แผนที่
การเดินทาง
จากสถานี Tokyo โดยสารรถไฟ Tohoku Shinkansen ไปลงที่สถานี Koriyama ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 20 นาที จากนั้นโดนสารรถไฟ Ban-Etsusai Line ไปลงที่สถานี Aizu-Wakamatsu ใช้เวลา1 ชั่วโมง 14 นาที

จากสถานี Aizu-Wakamatsu โดยสาร Haikara-san (Loop bus) ลงป้าย H14 ใช้เวลา 20 นาที เดินเท้าต่ออีก 5 นาที

เวลาทำการ 08:30 น. – 17:30 น. (เข้าได้จนถึง 16:30 น.)
วันหยุด
ค่าใช้จ่าย 410 เยน (เข้าชมปราสาทเท่านั้น)
210 เยน (โรงน้ำชาริคะคุ)
520 เยน (ชมปราสาทและโรงน้ำชาริคะคุ)
เว็บไซต์ (ภาษาญี่ปุ่น) https://www.tsurugajo.com/
https://www.aizukanko.com/spot/134
https://www.fukushimatrip.com/12926
เว็บไซต์ (ภาษาอังกฤษ) https://www.tsurugajo.com/language/eng/#link-info
https://www.tohokuandtokyo.org/spot_68/
https://www.tohokukanko.jp/en/attractions/detail_1588.html
http://samurai-city.jp/en/sightseeing/1287
เว็บไซต์ (ภาษาไทย) https://sendai-travel.jp/activities/tsurugajo-castle/?lang=th
https://www.tohokukanko.jp/zh_th/attractions/detail_1588.html
https://fukushima.travel/travel-trade/th/itinerary-4.html
จดหมายข่าวอื่นๆ