ตะลุยไปรอบเกาะอะวะจิ (Awaji Island)

จุดถ่ายรูปยอดนิยมที่สามารถเรียกยอดไลค์ได้เป็นอย่างดีก็คือ “อททะมะเนะงิ (Ottamanegi)” รูปปั้นหัวหอม ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของเกาะอะวะจิ (Awaji Island) นั่นเอง ตั้งอยู่ที่อนุสรณ์สถานสะพานแขวนนะรุโตะ อุซุโนะโอกะ (Uzu no Oka, The Great Naruto Bridge Memorial Museum) บนเนินเขาที่มองลงมาเห็นสะพานแขวนนะรุโตะ (The Great Naruto Bridge) ซึ่งเชื่อมเกาะอะวะจิกับจังหวัดโทคุชิมะ (Tokushima) ในภูมิภาคชิโกะคุ (Shikoku) เข้าด้วยกัน กิมมิคสุดเก๋ของที่นี่คือมีวิกรูปหัวหอมสุดน่ารักให้ยืมสวมฟรีเพื่อสนุกสนานกับการถ่ายรูปน่ารักๆ คู่กับรูปปั้นหัวหอมขนาดยักษ์ หัวหอมจากเกาะอะวะจินั้นเป็นที่เลื่องลือในความหวานและเนื้อสัมผัสนุ่มชุ่มฉ่ำ เพราะฉะนั้นหากได้ไปเยือนเกาะนี้จึงไม่ควรพลาดโอกาสลิ้มลองรสชาติดูกันให้ได้ นอกจากนี้ก็ยังมี เบอร์เกอร์เกาะอะวะจิ (Awaji-shima Burger) ซึ่งใช้หัวหอมและเนื้อวัวอะวะจิ (Awaji Beef) เป็นส่วนประกอบและได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดแฮมเบอร์เกอร์ทั่วประเทศญี่ปุ่น มีให้ชิมกันได้ตามร้านอาหารหลายแห่งบนเกาะ นับเป็นเมนูอร่อยอีกเมนูหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว

ภาพของกระแสน้ำทะเลที่ไหลวนเชี่ยวกรากทรงพลังนั้นเป็นภาพอันน่าพิศวงชวนให้เผลอจ้องดูราวถูกสะกดจิต และไม่ไกลจากจุดที่เกิดปรากฎการณ์ธรรมชาติทะเลน้ำวนนี้ คือที่ตั้งของสถานีพักรถ “มิจิโนะเอกิ อุซุชิโอะ (Michi-no-Eki Uzushio)” ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนเป็นจำนวนมากเนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับกระแสน้ำวนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สามารถสัมผัสกับเสียงคำรามของคลื่นกระแสน้ำวนอันทรงพลังได้ที่จุดชมวิวบนสะพานแขวนนารุโตะ (The Great Naruto Bridget) ติดกับสถานีรถไฟ สถานีพักรถแห่งนี้เต็มไปด้วยของอร่อยมากมายหลายชนิดรวมถึงอาหารเมนูเด็ดต่างๆ อย่างเช่น ชิโระอิไคเซ็นด้ง (Shiroi Kaisen-don) หรือข้าวหน้าซีฟู้ดสีขาวเต็มไปด้วยปลาเนื้อขาวหลากชนิดที่เพิ่งขึ้นจากทะเลท้องถิ่นมาสดๆ โปะอยู่เต็มชาม และ อะบุรินิคุด้ง (Aburi Niku-don) หรือข้าวหน้าเนื้อวัวลนไฟที่ล้นไปด้วยเนื้อส่วนที่หาทานได้ยากของเนื้อวัวแบรนด์ดังอย่างเนื้ออะวะจิ (Awaji Beef) เป็นต้น นอกจากนี้ยังครบครันด้วยของฝากและของที่ระลึกมากมายให้ได้เลือกช้อปเลือกชิมกันอย่างเพลิดเพลินนอกเหนือไปจากการชมภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจของปรากฎการณ์กระแสน้ำวนอีกด้วย

ภูเขามิคุมะ (Mt. Mikuma) เป็นเขาลูกเล็กสูงประมาณ 133 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล บนยอดเขาคือที่ตั้งของปราสาทซุโมะโตะ (Sumoto Castle) ซึ่งเหมาะกับการขึ้นไปเดินเล่นสบายๆ เป็นอย่างมาก จากจุดเริ่มต้นเส้นทางปีนเขาเดินขึ้นไปราว ประมาณ 30 นาที ก็จะถึงตัวปราสาทซึ่งโดดเด่นด้วยกำแพงหิน ที่ยังคงความแข็งแกร่งงดงามข้ามกาลเวลายาวนานกว่า 400 ปีและหอคอยยอดปราสาท (สัญลักษณ์หลักที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาสิ่งก่อสร้างหลากหลายในปราสาทแต่ละแห่ง) ทิวทัศน์แห่งท้องทะเลและภูเขาตลอดจนเมืองรอบปราสาทที่มองเห็นได้จากฐานใต้หอคอยยอดปราสาทที่แสนงดงาม อีกทั้งอากาศบริสุทธิ์สดชื่นเจือกลิ่นอายจากลมทะเลที่โชยมาปะทะ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ขากลับเมื่อลงมาถึงเนินเขาแล้วแนะนำให้แวะ ซุโมะโตะอนเซ็น (Sumoto Onsen) ที่จะช่วยล้างคราบเหงื่อไคลและคืนความสดชื่นแสนสบายให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี

อะวะจิยุเมะบุไต (Awaji Yumebutai) สวนรีสอร์ทขนาดใหญ่ที่ออกแบบโดยทาดาโอะ อันโด (Tadao Ando) สถาปนิกชื่อดังระดับโลก ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะอะวะจิ (Awaji Island) บริเวณใจกลางสวนรีสอร์ทมี พิพิธภัณฑ์พฤกษศาสตร์คิเซะกิโนะโฮะชิ (Kiseki no Hoshi Botanical Museum) เรือนกระจกขนาดใหญ่มหึมาภายในเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิดผลิบานอวดดอกสวยแม้ในฤดูหนาว ในช่วงระหว่างวันที่ 17 พฤศจิกายน – 20 มกราคมปีหน้าจะมีการจัดงานแสดงดอกไม้ประจำเทศกาลคริสต์มาส (Christmas Flower Show) โดยจะจัดเป็นสวนคริสต์มาสต้นเฟอร์ (Fir/ต้นสนชนิดหนึ่ง) และดอกไม้สีขาว 100 ชนิดรวมกว่า 20,000 ดอกอย่างสวยงาม สำหรับการจัดแสดงดอกไม้นั้นจะสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทุกๆ 1-2 เดือน จึงสามารถชมความงามของดอกไม้ได้โดยไม่เบื่อไม่ว่าจะไปเยือนสักกี่ครั้งก็ตาม

เมื่อมาถึงเกาะอะวะจิที่โอบล้อมด้วยทะเลแล้ว ก็ไม่ควรพลาดไปเที่ยวชม ป่าสนเคโนะมัตสึบาระ (Keino Matsubara Beach) ทางริมฝั่งตะวันตกของเกาะ หันหน้าออกสู่ทะเลเซโตะ (Seto Inland Sea) และแน่นขนัดไปด้วยต้นสน (Pine Tree) กว่า 50,000 ต้นตามแนวหาดทรายสีขาวระยะทางยาวประมาณ 2.5 กิโลเมตร คลื่นลมอ่อนโยนสงบนิ่งในฤดูร้อนจะมีผู้คนมาเล่นน้ำกันเป็นจำนวนมาก พระอาทิตย์ตกดินหลังแนวป่าสนเป็นภาพทิวทัศน์ที่งดงามและมีชื่อเสียง การมาเที่ยวชมความงามของพระอาทิตย์ตกดินที่นี่จึงเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาด และสำหรับผู้ที่เดินทางมากับคู่รักก็ขอแนะนำให้ลองเขียนข้อความหรือคำอธิษฐานให้ความรักยั่งยืนลงบน แผ่นกระเบื้องแห่งความรัก (Propose Kawara) ซึ่งเป็นวัสดุก่อสร้างที่ผลิตขึ้นบนเกาะอะวะจิ แล้วนำไปแขวนประดับไว้ที่บริเวณ ทางเดินแห่งรัก หรือ โพรโพสไกโด (Propose Gaido)”ซึ่งเต็มไปด้วยแผ่นกระเบื้องแบบเดียวกันแขวนเรียงรายอยู่ เพื่อเป็นที่ระลึกแห่งการเดินทางอันแสนวิเศษครั้งนี้