แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของคันโต (Kanto)

สวนดอกไม้อาชิคางะ (Ashikaga Flower Park) เป็นสวนดอกไม้ชื่อดังที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนเป็นจำนวนมากตลอดทั้งปี ที่นี่มีสวนดอกวิสทีเรีย (Wisteria) ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเต็มไปด้วยดอกวิสทีเรียมากมายกว่า 350 ต้น ทั้งต้นที่มีดอกสีขาวสูงกว่า 80 เมตร และต้นวิสทีเรียที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่มีอายุกว่า 150 ปี คอยสร้างบรรยากาศอันงดงามราวความฝันให้กับสวนแห่งนี้ ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายนไปเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน อุโมงค์ดอกวิสทีเรียของที่นี่จะประดับประดาไปด้วยดอกวิสทีเรียหลากสีสัน ทั้งสีชมพู ม่วง ขาว และเหลือง นอกจากนี้ในตอนกลางคืนยังมีการจัดไฟไลท์อัพ ให้บรรยากาศอันงดงามที่แตกต่างไปจากเวลากลางวัน เท่านั้นไม่พอฤดูร้อนมีทั้งดอกยี่เข่ง (Crepe Myrtle) ที่บานสะพรั่งให้ชมความงามและดอกบัวสาย (Water Lily) ขนาดใหญ่จำนวนกว่า 1,500 ดอกซึ่งผลิบานอวดสายตาผู้มาเยือนที่มองลงมาจากสะพานท่าเรือ และในช่วงฤดูร้อนก็จะมีการจัดงานอีเวนท์มากมายที่เหมาะกับการพาเด็กๆมาเที่ยวพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัวด้วย สำหรับช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงมีทุ่งดอกอเมทิสต์ (Amethyst) สำหรับฤดูหนาวก็มีการจัดแสดงไฟแสงสีท่ามกลางสวนดอกไม้ และเป็นจุดชมไฟที่ติดอันดับในภูมิภาคคันโตอีกด้วย

สวนฮิตาชิ ซีไซด์ ปาร์ค (Hitachi Seaside Park) เป็นสวนสาธารณะที่หันหน้าสู่ชายทะเล ตั้งอยู่ในจังหวัดอิบะระกิ (Ibaraki) เป็นสวนดอกไม้ใหญ่ มีพื้นที่ขนาด 190 เฮกเตอร์ (1,900,000 ตารางเมตร) มีดอกไม้ชนิดต่างๆผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันผลิดอกสวยให้เราได้ชมตลอดทั้ง เช่น ดอกซุยเซ็น (Narsisus) ทิวลิป และกุหลาบ เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายเดือนเมษายนซึ่งเป็นฤดูชมดอกเนโมฟีล่า (Nemophila) ที่แห่งนี้จะถูกย้อมเป็นสีฟ้าไปทั่วบริเวณให้บรรยากาศโรแมนติกมากเลยทีเดียว นอกจากนี้ในช่วงกลางเดือนตุลาคม นักท่องเที่ยวก็จะได้ชื่นชมความน่ารักของพุ่มดอกโคเคีย (Kochia) ทรงกลมสีแดงสวยรับฤดูใบไม้เปลี่ยนสีเต็มพื้นที่กว้างใหญ่ ให้บรรยากาศสวยงามแปลกตา ไม่เพียงแต่ดอกไม้สวยๆ เท่านั้น ภายในสวนแห่งนี้ยังมีบริการให้นักท่องเที่ยวได้สนุกสนานกับการปิ้งบาร์บีคิว หรือขี่จักรยานเล่น

มาเธอร์ฟาร์ม (Mother Farm) คือชื่อของฟาร์มยอดนิยมของจังหวัดชิบะ ที่ให้เราได้สัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์น่ารักต่างๆ มากมายเช่น แพะ แกะ ฝูงเป็ดและอัลปาก้า และยังมีทุ่งดอกไม้ที่สวยงามในทุกฤดูกาล เมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงต้นฤดูร้อนเราก็จะได้ชมดอกพิทูเนีย (Petunia) ราว 25,000 ดอก สีชมพูสดใสตัดกับท้องฟ้าและสีเขียวของต้นไม้เป็นทัศนียภาพที่งดงามมาก และตั้งแต่ฤดูร้อนไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วง เราก็จะได้เห็นภาพดอกซัลเวีย (Salvia) จำนวนกว่า 300,000 ดอกที่ปลูกมาเป็นเวลานานกว่า 40 ปี บานสะพรั่งไปทั่วบริเวณ ราวกับปูลาดด้วยพรมสีแดงเข้มผืนใหญ่ ส่วนในฤดูหนาวก็จะมีการประดับประดาไฟสวยงามให้ได้ถ่ายรูปกันอย่างจุใจทีเดียว นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมน่าสนุกอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเก็บผลสตรอเบอรี่ (มกราคม – พฤษภาคม) หรือจะเป็นการปิ้งบาร์บีคิวทานกัน (ตลอดปี) การทำแยมบลูเบอร์รี การเล่นกับสัตว์ในฟาร์ม การรีดนมวัว การขี่ม้าในสนาม นอกจากนี้ที่นี่ยังมีซอฟต์ครีมสดอร่อยขึ้นชื่อของทางฟาร์มให้ได้ลิ้มลอง

สวนโชวะคิเน็น (Showa Kinen Park) ภายในมีพิพิธภัณฑ์จักรพรรดิโชวะ (Emperor Showa Museum) ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ของจักรพรรดิโชวะ มีขนาดใหญ่ถึง 16,300 เอเคอร์ หรือกว่าหนึ่งแสนไร่ ภายในแบ่งโซน 5 โซนโดยเชื่อมต่อกันด้วยเส้นทางสำหรับเดินเท้าและจักรยาน ยังมีการจัดอีเวนท์เล็กใหญ่มากมาย โดยในวันที่ 29 กรกฎาคมซึ่งเป็นวันงานเทศกาลทะจิคะวะ จะมีการแสดงดอกไม้ไฟสวนสาธารณะโชวะคิเน็น (Tachikawa Showa Kinen Park Fireworks) ซึ่งเป็นการแสดงดอกไม้ไฟที่มีขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง พื้นที่ส่วนมากเป็นทุ่งดอกไม้ขนาดกว้างใหญ่ไพศาล ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีมีเทศกาลชมต้นแปะก๋วยและบรรดาต้นเมลเปิ้ลเป็นพระเอก ส่วนฤดูใบไม้ผลิก็เป็นจุดชมซากุระที่ไม่ควรพลาด และฤดูร้อนก็สามารถชมทุ่งดอกทานตะวัน (Sunflower) และเพลิดเพลินกับสวนน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งล้วนแต่สวยงามน่าไปเที่ยมชมและถ่ายรูปสวยๆ กลับมาเป็นที่ระลึก

ภูเขาทะคะโอะ (Mt. Takao) มีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับใช้เป็นสถานที่เก็บตัวบำเพ็ญเพียรของผู้มีศรัทธาในศาสนามาแต่ครั้งโบราณ และวัดที่อยู่กลางภูเขาทะคะโอะ (Mt. Takao) แห่งนี้ก็คือ วัดทะคะโอะซังยะคุโออิน (Takaosan Yakuo-in Temple) ซึ่งเป็นแหล่งรวมจุดเสริมดวงชะตาในด้านต่างๆ มากมาย ทั้งด้านโชคลาภ สุขภาพ การเงิน ความรัก การค้าขาย ภายในบริเวณวัดมีรูปปั้นเทงกุ (Tengu) ประดับอยู่ตามจุดต่างๆ ซึ่งเทงกุ (Tengu) คือเทพที่เป็นที่รู้จักกันดีจากตำนานของญี่ปุ่น มีใบหน้าแดงและจมูกโด่งแหลม แต่งกายแบบผู้บำเพ็ญศีล และมีปีกอยู่ที่หลังสามารถบินไปมาบนท้องฟ้าได้ นับเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดชม การขึ้นเขาภูเขาทะคะโอะ (Mt. Takao) มีด้วยกันหลายวิธี ได้แก่ปีนเขาเดินป่าที่มีถึง 6 เส้นทาง หรือโดยสารเคเบิลคาร์ (cable car)หรือโดยสาร“เอโคลิฟต์ (Eco Lift) เพื่อที่จะขึ้นไปภูเขาทะคะโอะ ในวันที่อากาศเป็นใจเราจะสามารถเห็นทิวทัศน์อันสวยงามรวมถึงทิวทัศน์ภูเขาไฟฟูจิ (Mt. Fuji) ได้จากบนยอดเขาอีกด้วย

ทะเลสาบทั้งห้าแห่งภูเขาไฟฟูจิ (Fuji Five Lakes) หมายถึง ทะเลสาบที่วางตัวรอบภูเขาไฟฟูจิทั้ง 5 แห่ง ได้แก่
ทะเลสาบคะวะกุจิโกะ (Kawaguchiko) เป็นเหมือนศูนย์กลางในการชมภูเขาไฟฟูจิอย่างชัดเจน มีพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ขนาดย่อมและมีที่พักพร้อมทั้งบ่อน้ำแร่ธรรมชาติ
ทะเลสาบยะมะนะกะโกะ (Yamanakako) ทะเลสาบที่ใหญ่สุดในบรรดาทะเลสาบทั้ง 5 จึงเป็นที่ตั้งของรีสอร์ท และบ้านพักตากอากาศฤดูร้อนจำนวนมาก
ทะเลสาบโมโตสุโกะ (Motosuko) ทะเลสาบที่ลึกที่สุด น้ำในทะเลสาบใสมาก ภาพทะเลสาบนี้ตีพิมพ์อยู่บนด้านหลังของธนบัตรพันเยนและห้าพันเยนของญี่ปุ่น
ทะเลสาบโชจิโกะ (Shojiko) ทะเลสาบที่เล็กสุดในบรรดาทะเลสาบทั้ง 5 เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ตกปลาและกิจกรรมแบบครอบครัว
ทะเลสาบไซโกะ (Saiko) ทะเลสาบนี้เงียบสงบ แวดล้อมด้วยผืนป่าไม้อันอุดม มีถ้ำต่างๆ

ฮาโกเนะ (Hakone) เป็นแหล่งน้ำพุร้อนชื่อดังใกล้ใจกลางกรุงโตเกียว (Tokyo) และยังเต็มไปด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ในช่วงฤดูฝนที่นี่จะถูกแต่งแต้มด้วยดอกไฮเดรนเยีย (Hydrangea) หรือที่ชาวญี่ปุ่นเรียกว่าดอกอะจิไซ (Ajisai) ในฤดูร้อนจะสวยสดด้วยสีเขียวสดชื่นของใบไม้แรกผลิ ในฤดูใบไม้ร่วงก็งดงามด้วยใบไม้เปลี่ยนสี จึงสามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่หลากหลายได้ในทุกฤดูกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุ่งหญ้าซุซุกิ (Japanese Silver Grasses Field) ที่จะพลิ้วไหวเต็มพื้นที่ของเซ็งโงะคุฮะระ (Sengokuhara) นั้นเป็นภาพทิวทัศน์ที่สวยงามเพลินตาอย่างยิ่งและสามารถชมได้เฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น นอกจากนี้ก็ยังมีกิจกรรมน่าสนใจอื่นๆ อีกมากมาย เช่นการล่องเรือนำเที่ยวทะเลสาบอะชิโนะโกะ (Lake Ashinoko) และเที่ยวชมควันสีขาวจากปล่องภูเขาไฟที่โอวะคุดะนิ (Owakudani) เป็นต้น